กิเลสงอก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
เทศน์บนศาลา วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๘
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไง รู้แจ้งทั้งโลกนอกโลกใน
โลกนอกๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ โลกในๆ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง รู้แจ้งทั้งโลกนอกและโลกใน
ไอ้ของเรามืดทั้งโลกนอกและโลกใน
โลกนอกๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเล็งญาณ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเพราะอะไร กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะเวรเพราะกรรมไง แต่เวลาเกิดมา เกิดมาแต่ละภพแต่ชาติเกิดจากเวรจากกรรม แล้วเกิดมาแล้วมาเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนแต่ละภพแต่ละชาติ ผู้ที่เกิดบนพรหมๆ แปดหมื่นปี เวลาเกิดบนเทวดา เวลา ๑๐๐ ปีเท่ากับ ๑ วันของเขา นี่สิ่งที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง
เรามาเกิดเป็นมนุษย์ ๑๐๐ ปี เวลาสัตว์เดรัจฉาน พวกแมลง ๗ วัน แต่ละภพแต่ละชาติของเขา นี่จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง เป็นอริยทรัพย์ การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ไง
มนุษย์เป็นภพกลาง มีกายกับใจไง สิ่งที่มีกายกับใจ มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นผู้ที่มีความสามารถ มีสติมีปัญญาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
เวลาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อบายภูมิ อบายภูมิเขาก็ทำคุณงามความดีของเขาได้ ทำคุณงามความดีของเขาได้ เขาเกิดนรกสวรรค์ของเขา สิ่งดีงามของเขา แต่เขาจะบรรลุธรรมอย่างมนุษย์เราเป็นไปไม่ได้ เพราะเขาไม่มีสติปัญญาเท่าที่จะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติได้ไง
ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถึงว่าเป็นอริยทรัพย์ๆ การเกิดเป็นมนุษย์นี้มีคุณค่ามาก แต่เกิดมาแล้ว บุญและบาป
ถ้าเป็นบุญเป็นกุศล จิตใจที่ดีงาม จิตใจที่ฝึกหัดปฏิบัติของเราไง แต่เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจที่มันบีบมันคั้นไง เวลามันทุกข์มันยากไง
เวลาคนเราไม่ได้ฝึกไม่ได้หัดมา อารมณ์มันอ่อนไหว อ่อนแอ ไม่มีสติไม่มีปัญญา ทรงตัวเองไว้ไม่ได้ ต้องทนทุกข์ทนยาก ทนลำบากของตนตลอดไป
เวลาเห็นมนุษย์ เห็นคนที่เขามีบุญมีกุศลของเขา เขาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จของเขา เราก็มนุษย์เหมือนกัน เท่ากัน ประชาธิปไตยๆ เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน
นี่ก็เหมือนกัน การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แต่มันอยู่ที่การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรานี่ไง สิ่งที่เป็นอำนาจวาสนาบารมีๆ อำนาจวาสนาบารมีมันจะมาจากไหน
ดูสิ ทางโลกเขา เขาเรียกคนที่ไม่มีบารมีไง เขามีเงินมีทอง เขามีชื่อมีเสียงนะ แต่เขาไม่มีพรรคไม่มีพวก เพราะเขาไม่มีบารมี ถ้ามีบารมี เขารู้จักเสียสละ เขามีพรรคมีพวก นั่นคนที่มีอำนาจวาสนาแล้วมีบารมีด้วย
นี่ก็เหมือนกัน อำนาจวาสนามาจากไหน ก็มาจากการฝึกหัดปฏิบัติของเรา มาจากการบ่มเพาะของเรา มาจากการส่งเสริมของเรา ถ้าเราไม่ทำของเราขึ้นมา มันจะเกิดอำนาจวาสนาบารมีขึ้นมาได้อย่างไร
อำนาจวาสนาบารมีก็เกิดจากเรานี่แหละ แต่เราไม่ได้มองที่ว่าเราทำไง เราไปเห็นแต่คนอื่นไง เห็นแต่ภายนอกไงว่าคนที่มีบารมีมีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไอ้เราเป็นคนที่ไม่มีบารมี ทำสิ่งใดก็ไม่มีคนนับหน้าถือตา ไม่มีคนยกย่องสรรเสริญ
มันอยู่ที่เราทำ มันอยู่ที่เราทำ ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราฝึกหัดปฏิบัติของเราไง ความเสมอต้นเสมอปลาย เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ความเสมอต้นเสมอปลายนี่แหละมันจะทำให้เราได้ลิ้มรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง รสของธรรมนะ
แต่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นอริยทรัพย์ๆ เราต้องเผชิญกับกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน แล้วเวลาได้ลิ้มรสก็ลิ้มรสแต่กิเลสที่มันคายพิษไว้ให้ในหัวใจของเรา มันมีแต่ความทุกข์ความยากทั้งนั้นน่ะ
ถ้ามันมีความทุกข์ความยากขึ้นมา เพราะกิเลสมันคายพิษมา เวลากิเลสมันไปกว้านเอาฟืนเอาไฟมาเผาหัวใจของเราทั้งนั้น แล้วเรา เราไม่ซื่อสัตย์สุจริต ถ้าเราซื่อสัตย์สุจริต เราจะฝึกหัดปฏิบัติของเราให้จริงจังขึ้นมา ถ้ายับยั้งมันได้ไง ถ้ายับยั้งมันได้ด้วยสติ สติมันยับยั้งความคิดเราได้ทั้งสิ้น
ความคิดของเรามันพลั้งมันเผลอของมันไป มันก็คิดโดยธรรมชาติของมันไง ธรรมชาติของจิต สันตติ เกิดดับๆๆ แต่มันรวดเร็วของมันมาก มันเป็นความมหัศจรรย์ จิตนี้เป็นเรื่องของความมหัศจรรย์มาก ความคิดเร็วกว่าแสง ความคิดของคนมันซับซ้อนเร็วยิ่งกว่าแสง มันคิดไปรอบจักรวาลหมดเลย คิดเรื่องอะไรก็ได้ มันไปได้ทั้งนั้นน่ะ
แต่ถ้ามีสติมีปัญญา เราจะคิดแต่เรื่องคุณงามความดีของเรา แล้วเรื่องคุณงามความดีของเรานะ ไม่ต้องไปคิดที่อื่นเลย
พระกรรมฐานๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระกรรมฐานองค์แรกของโลก เพราะอะไร เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นั้นไง เวลาแสวงหามา ๖ ปี ไปศึกษาค้นคว้ามากับใครก็แล้วแต่ มีสติมีปัญญาเท่าทันเขาทั้งนั้นน่ะ เท่าทันก็เท่าทันทางโลกนั่นไง แต่ทางธรรมมันไม่มี ทางธรรมไม่มีเพราะอะไร เพราะมันยังไม่เกิดขึ้น
ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันเกิดขึ้นที่ไหน
เกิดขึ้นที่อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นเกิดขึ้น “เราตรัสรู้เองโดยชอบ”
โดยชอบๆ โดยชอบธรรมไง แล้วมันมาจากไหน มันมาจากไหน
นั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานี่แหละทำให้หัวใจของเราฉลาดขึ้นมา
เวลาการศึกษาทางโลกเขามีการศึกษา เขาจบเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติ พระกรรมฐานๆ เขาบอกว่า “หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อยู่ในป่าในเขาไม่มีการศึกษา มันจะฉลาดมาจากไหน”
หลวงปู่มั่นท่านลงมาจากเชียงใหม่ สมเด็จมหาวีรวงศ์นิมนต์ท่านไป ถามเลย “ท่านมั่น ท่านมั่น ท่านไปศึกษาค้นคว้ามากับใคร เราเป็นสมเด็จ เราเป็นหัวหน้ากองการศึกษา เราต้องอยู่กับตำรับตำรา ยังต้องค้นคว้ามาตลอดเวลา ท่านศึกษามาจากใคร”
องค์หลวงปู่มั่นท่านบอกว่า “ข้าพเจ้าฟังเทศน์ทั้งวันทั้งคืนเลย”
นี่เวลาคนที่ปฏิบัติไง
ศึกษามาจากภาคทฤษฎี ศึกษามาจากทางวิชาการ ศึกษามากับทางโลก ศึกษามาด้วยการศึกษาค้นคว้า ด้วยการวิเคราะห์วิจัย แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา แล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติของเรานี่ไง
เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนานะ เวลาธรรมมันเกิด อึ้งเลย ตกตะลึงพรึงเพริดเลย
“ไอ้พุทโธๆ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ไม่มีการศึกษา มันจะมีสติมีปัญญาขึ้นมาได้อย่างไร”
หลวงปู่มั่นท่านบอก ท่านฟังธรรมอยู่ตลอดเวลา ธรรมมันเกิดตลอดเวลา
ถ้าธรรมมันเกิดตลอดเวลา เห็นไหม เรามีสติมีปัญญา นั่งสมาธิ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ธรรมมันเกิดตลอดเวลา เกิดตลอดเวลา
แต่ของเราเวลาฝึกหัดปฏิบัติ กิเลสมันเกิดตลอดเวลา มันเกิดแต่ความสงสัย มันเกิดแต่ความไม่เอาไหนของเรา ถ้าเกิดแต่ความไม่เอาไหนของเรานะ ตั้งสัจจะของเรา ตั้งไว้เลย
ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติใหม่เวลาเดินจงกรม ปักธูปไว้ดอกหนึ่ง แล้วก็ แหม! ฉุนเฉียวเชียว ทำไมธูปมันหมดช้าจัง จุดเทียนไว้เล่มหนึ่ง เดินจงกรมกว่าเทียนมันจะหมดเล่ม
เวลาฝึกหัดปฏิบัติเริ่มต้นอย่างนั้นน่ะ ล้มลุกคลุกคลานมาทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร เพราะเราจะขีดวงจำกัดกิเลสไว้ กิเลสมันเป็นอิสระ มันมีเสรีภาพ มันเหยียบย่ำทำลายได้ทั้งสิ้น แล้วมันก็คายพิษไว้ให้เราได้ทุกข์ได้ยาก
พอเรามีจิตใจเราจะฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา กิเลสมันดีดมันดิ้นขึ้นมา มันดีดจนล้มหงายเลยล่ะ จะทำสิ่งใดมันอึดอัดขัดข้องไปหมดล่ะ แล้วเราก็อ่อนแอ เราก็ไม่จริงจัง พอเราอ่อนแอแล้วไม่จริงจังขึ้นมา มันก็ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันไง ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันก็ล้มลุกคลุกคลานอยู่นั่นไง นี่ไง อำนาจวาสนาบารมีไง
ถ้าอำนาจวาสนาบารมีของเรานะ ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติของเรามา ทำทาน ถ้าเป็นครอบครัว เลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ นี่ทานทั้งนั้นน่ะ ทำไมมันจะไปทานที่ไหน คนรอบข้างเรา เราช่วยเหลือเจือจานมันก็เป็นทานทั้งนั้นน่ะ
เพราะการให้นั่นน่ะมันทำให้เราได้เสียสละ ทำให้เราได้ช่วยเหลือเจือจานคนอื่นกันไป เวลาถ้าจะไปวัดไปวาทำบุญกุศล นั่นก็เรามีโอกาสของเรา แล้วถ้าทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง
ถ้าถือศีลบริสุทธิ์ หนึ่ง ปาณาติปาตาฯ ไม่เบียดเบียนใครทั้งสิ้น อทินนาฯ ของใครไม่หยิบไม่ต้องทั้งสิ้น ถ้ามีครอบครัวก็จะคู่ครองเราทั้งสิ้น แล้วมุสาฯ เราก็ไม่หลอกลวงทั้งตนเองและไม่หลอกลวงใครทั้งสิ้น สุราเมรยมชฺชปมาทฏฺฐานา สิ่งใดที่เป็นความมึนเมาไง
ธรรมเมาๆ มีความรู้สึกนึก มันมีแต่มัวเมากับอารมณ์ของตนไง มันเมาอารมณ์
ตั้งสติปัญญาของเรา ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่าถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง มีศีลมีธรรม ถ้ามันมีศีลมันยับยั้งได้แล้ว ถ้าทำสมาธิได้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วถ้าฝึกหัดใช้ปัญญาไปได้ ฉะนั้น อำนาจวาสนาบารมีมาจากตรงนี้ มาจากสติ มาจากปัญญา มาจากความเพียรของตน แล้วทำให้มันถูกต้องชอบธรรมไง
ที่มันไม่ถูกต้องชอบธรรม นี่ไง เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเพื่อจะชำระล้างกิเลส ไอ้นี่กิเลสมันงอก กิเลสมันงอกเลย จะทำความสงบของใจๆ ใจสงบตรงไหน
เวลาเนื้องอก เนื้องอกมันงอกที่ไหน ถ้าเป็นหูดเป็นหิดก็ไปโรงพยาบาล เขาใช้ไฟจี้ เวลามันงอกในภายใน มันกดทับอวัยวะ เจ็บไข้ได้ป่วยไปทั้งหมด นี่เนื้องอก
แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เพราะความอยากได้ เห็นไหม กิเลสมันงอก พอกิเลสมันงอก มันก็กดทับหัวใจอยู่นี่ ทำความสงบของใจของเราไม่ได้ไง
ถ้าความเป็นจริง เวลาคนที่เจ็บไข้ได้ป่วย เวลาเนื้องอกๆ มันเป็นขึ้นมาเพราะอะไร มันเป็นขึ้นมาเพราะมันเกิน มันผิดปกติไง ถ้าเป็นปกติมันก็เป็นเรื่องธรรมดา
คนของเรา คนที่มีอำนาจวาสนาบารมี เขาไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยทั้งชีวิตเลย ไอ้คนออดๆ แอดๆ อยู่ทั้งชีวิตเหมือนกัน แล้วเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยๆ สุขภาพกาย สุขภาพจิต
ถ้าเจ็บป่วยด้วยร่างกาย มันก็ชราคร่ำคร่าเป็นเรื่องธรรมดา
สุขภาพจิต ถ้ามันผิดปกติขึ้นมา ในปัจจุบันนี้ทางการแพทย์เขารักษาของเขาได้ กว่าเขาจะศึกษาค้นคว้า ทางวิชาการ ทางโลกเจริญๆ ถ้าเจริญก็เป็นเรื่องปกติไง ถ้าเรื่องปกติ เวลาจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ให้มันเป็นข้อเท็จจริงของเรา อย่าให้กิเลสมันงอก กิเลส กิเลสมันย่ำยีเราอยู่แล้ว
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารๆ “มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราจะไม่ดำริถึงเจ้า เจ้าจะเกิดบนหัวใจของเราอีกไม่ได้เลย ไม่มี” นี่วิหารธรรม เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก
ไอ้เรามันของคู่ ทุกข์กับสุข ดีกับชั่ว บุญและบาป ถ้าเป็นบุญๆ ก็ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้ามีสติปัญญาก็เป็นบุญขึ้นมาบ้าง แต่ถ้าเป็นบาปๆ ไม่ต้อง ปล่อยตามอารมณ์เป็นบาปทั้งนั้นน่ะ ปล่อยไปหมด กิเลสมันครอบงำตลอด
จะทำคุณงามความดี ปลาเป็นว่ายทวนน้ำ การจะทำคุณงามความดีต้องฝืนกิเลสทั้งสิ้น ต้องฝืนความสะดวกสบาย ต้องฝืนตามความพอใจ ต้องฝืนความอบอุ่น
เวลาพระบวชใหม่ออกวิเวกไปคนเดียว ไปเหมือนนอแรด แต่ถ้ามีหมู่มีคณะก็ไปด้วยกัน ถึงเวลาก็แยกกันไปได้ อารมณ์คนไม่เท่ากัน ความสามารถของคนไม่เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นสัทธิวิหาริก ลูกศิษย์ลูกหาอาศัยไป นั่นอีกเรื่องหนึ่ง
หลวงปู่ชอบ เวลาท่านออกธุดงค์ไง มีพระตามไป มีปะขาวที่คอยอุปัฏฐากท่าน แต่ส่วนใหญ่แล้วท่านก็ไปองค์เดียวทั้งนั้นน่ะ มันเป็นเวล่ำเวลาไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมา เอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา เราก็ทำของเราคนเดียวทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้ามันยังอ่อนแออยู่ ก็อาศัยหมู่อาศัยคณะ อาศัยกันไปก่อน
วัดโดยทั่วไปทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น แล้วนั่งสมาธิภาวนา นั่งสมาธิภาวนาเพราะอะไร เพราะอาศัย ผู้ที่ฝึกหัดใหม่ก็นั่งไปกับเขา นั่งไปกับเขา ฝึกหัดให้เป็นจริตเป็นนิสัย
แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่ทำอย่างนั้น ท่านเทศนาว่าการอย่างนี้ เทศน์จบแล้วกลับที่อยู่ของตน เอาเลย จะกี่ชั่วโมงก็ได้ เพราะเวลาปฏิบัติไปนะ เวลาจิตมันลง
เราเคยธุดงค์มาทั้งนั้นน่ะ เวลาไปที่ว่าทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น แล้วเขานั่งสมาธิภาวนา ต้องคอยรั้งไว้ๆ กลัว กลัวจิตมันลงแล้วไม่รู้สึกตัว มันจะไปอวดดีกว่าคนอื่นเขาไง
เวลาอยู่กับหลวงตาท่านเป็นอย่างนั้น ท่านบอกว่าให้เป็นอิสระของตนเอง ใครจะนั่งมากนั่งน้อยมันอยู่ที่จริตนิสัย แล้วถ้าลง ให้มันลงเลย ถ้าลงให้จริง
เวลาลง มันจะลงในทางจงกรมก็ได้ จิตมันลง จิตมันสงบระงับ
ถ้าจิตสงบระงับ ระงับเพื่ออะไร
กิเลสมันงอกไง กิเลสมันงอก มันกดมันทับ มันทำให้ลงสมาธิไม่ได้ มันทำให้หงุดหงิด นิวรณธรรม ๕ ไง เวลาถอดเสี้ยนถอดหนาม เวลามันลงของมัน มันเป็นสัมมาสมาธิของมัน มันเป็นปกติไง
เวลาเนื้องอกๆ มันงอกเพราะร่างกายเรา เวลากิเลสมันงอกๆ มันพลิกมันแพลง มันทำลายเราทั้งนั้นน่ะ แล้วทำลายแล้ว ทำลายอะไร ก็ทำลายความเพียรไง ทำลายคุณงามความดีของเราไง
เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเราขึ้นมา เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา กิเลสมันงอกแล้ว
เวลาอยู่โดยปกติสุขมันทำได้ทั้งนั้นน่ะ โดยสุภาพบุรุษ ใครๆ ก็บอกว่า ธรรมะๆ ศึกษามาแล้ว จะประพฤติปฏิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ ยิ่งเวลาปฏิบัตินะ ก่อนจะสิ้นชีวิตจะปฏิบัติให้เป็นพระอรหันต์สิ้นกิเลสไปเลย
คิดกันอย่างนั้นน่ะ ผัดวันประกันพรุ่ง
แล้วชีวิตนี้สั้นนัก
เวลาในวงปฏิบัติ พระหนุ่มเณรน้อยเวลาร่างกายยังแข็งแรง ทำอย่างไรก็ทำได้ เวลาชราคร่ำคร่านะ เดินยังไม่ไหวเลย
นั่งสมาธิ เด็กๆ มันเจ็บมันปวดของมันขึ้นมา เวทนาเวลามันชิมลาง มันแค่แหย่เท่านั้นน่ะ มันล้มลุกคลุกคลานไปแล้ว แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่มีสติมีปัญญานะ ทดสอบทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันมีความสงบของใจให้ได้ ถ้ามีความสงบของใจให้ได้ กิเลสที่มันงอกขึ้นๆ มันสงบระงับเลยล่ะ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับแล้วมีสติมีปัญญาของเรา ฝึกหัดใช้สติใช้ปัญญาของเราให้ได้ ถ้าใช้สติใช้ปัญญาของเรา เราฝึกหัดเพื่อหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้มันจะเป็นผู้ที่ฉลาดขึ้น
หัวใจดวงนี้ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเวลาเกิดนี่ไม่รู้นะ เพราะอวิชชา อวิชชาคือความไม่รู้ เกิดเพราะไม่รู้นั่นแหละ เวลาคนตาย เวลาตายไปถ้าเป็นคนทำคุณงามความดีไปเกิดบนสวรรค์ โอปปาติกะ ไปจาก กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ไปจากบุญกุศลของเขา นั่นมิติเวลาอุบัติ เวลาเกิด
แต่เวลาเกิดแล้วสิ เกิดเป็นเทวดาๆ มาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐินะ ถ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิขึ้นมา รบราฆ่าฟันกันเพื่อความยิ่งใหญ่ นั่นน่ะเทวดารบกันมากมาย เวลามันเป็นการขัดแย้งกันน่ะ แต่ถ้าเป็นธรรมๆ นะ เขาก็จะหา หาความสงบสุข หาความสงบสุข เห็นไหม
ฉะนั้น ผู้ที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ถ้าเกิดเป็นมนุษย์นะ ถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้วมั่นคง เขาจะฝึกหัดปฏิบัติของเขาให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสยังไม่อยากตาย ตายแล้วถ้าทำคุณงามความดีไปเกิดบนสวรรค์อยู่แล้ว แล้วถ้าเราปรารถนาเกิดเป็นมนุษย์ปฏิบัติต่อเนื่องกันไปล่ะ นี่การปรารถนาๆ ไง แล้วมันจะเป็นจริงเป็นจังของเราหรือไม่ไง
เวลาครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดปฏิบัติไง ถ้าสิ้นกิเลสแล้วตายเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถ้ากิเลสยังเต็มหัวใจ เรารู้ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เรารู้ ถ้ากิเลสยังไม่สิ้นไป พยายามจะฝึกหัดปฏิบัติ เพราะอะไร เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี้แสนยาก แล้วการเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ แล้วการเกิดเป็นมนุษย์ แล้วเกิดมาพบพระพุทธศาสนา
ครูบาอาจารย์ท่านพูดประจำ ไม่มีอำนาจวาสนาไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ
แล้วศาสนาพุทธ พระไตรปิฎก ธรรมและวินัยมันมีของมันอยู่แล้ว เวลาครูบาอาจารย์เราที่ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติเข้าป่าเข้าเขาไป มันจะพกตำรับตำราไปที่ไหน มันก็มีกายกับใจเรานี่แหละ แล้วจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา
ถ้ามันเป็นจริง เช่น หลวงปู่มั่น ฟังธรรมทั้งวันทั้งคืนเลย
ไอ้เราเกิดไหม เวลามันเกิดขึ้นมาบ้าง ถ้ามันฟังธรรมๆ หมายความว่า เวลาจิตมันขี้เกียจขี้คร้าน จิตมันไม่ต้องการ มันจะเกิดความคิดขึ้นมาไง เกิดมาทำไม เราเป็นนักปฏิบัติ ปฏิบัติจริงหรือเปล่า แล้วนักปฏิบัติเขาปฏิบัติกันอย่างไร
ปฏิบัติมันเป็นแค่พิธีกรรมปฏิบัติ เดิน ยืน นั่ง นอน เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ศาสดานะ การทำความสงบ ๔๐ วิธีการ แล้วการทำความสงบ ๔๐ วิธีการ ยืน เดิน นั่ง นอน
คำว่า “ยืน เดิน นั่ง นอน” มันมา เห็นไหม สันตกายๆ เวลาพระเจอ อู๋ย! นี่เป็นพระอรหันต์แน่ๆ เลย ไปรายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ แล้วนิมนต์พระสันตกายมาไง
สันตกายเคยเกิดเป็นราชสีห์ ๕๐๐ ชาติ เกิดซ้ำๆๆ อยู่นั่น ๕๐๐ ชาติ การเกิดอย่างนั้นทำให้เขามีสติ เขามีสติของเขาอยู่ในความเรียบร้อยตลอดเวลา แต่เขาไม่มีปัญญาไง เขายังไม่ได้ทำ นี่จริตนิสัย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิมนต์มาแล้วนะ แล้วเทศนาว่าการไง “สันตกาย ให้จิตน้อมไปเห็นกาย แล้วแยกแยะด้วยวิปัสสนา”
วิปัสสนาคือปัญญา คือวิธีการแก้กิเลสด้วยมรรค ๘ พิจารณาไป องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการ พระสันตกายเป็นพระอรหันต์เลย
นี่จริตนิสัยเรียบร้อย มันเหมือนพระอรหันต์เลย คนดูจากภายนอก แต่มันไม่เป็นความจริงไง
นี่ก็เหมือนกัน ยืน เดิน นั่ง นอน การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา ยืน เดิน นั่ง นอน แล้วพยายามกระทำของเรา ถ้าพยายามทำให้มันต่อเนื่องไง ต่อเนื่องขึ้นมาให้มันสงบระงับเข้ามา ไม่ใช่กิเลสมันงอก เป็นเนื้องอก กดทับ กดทับร่างกายนี้ เบียดเบียนให้เจ็บไข้ได้ป่วย
นี่ก็เหมือนกัน เวลาตั้งใจขึ้นมานะ ทำเมื่อไหร่ก็ทำได้ ปฏิบัติเมื่อไหร่ก็ได้ ทำแล้วมันประสบความสำเร็จ แต่พอทำเข้าไปน่ะ กิเลสมันงอก ล้มลุกคลุกคลาน จะล้มลุกคลุกคลาน มันเป็นกิเลสในใจของตนไง มันเป็นอำนาจวาสนาของตนไง
แล้วจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมานะ ทำให้มันจริงให้มันจังขึ้นมา
เวลาจิตมันส่งออก มันมีปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ ปัญหาที่เกิดขึ้น ปัญหาเกิดขึ้นจากอวิชชาคือความไม่รู้ เพราะว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาไง เราต้องมีการศึกษา ศึกษาธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฝึกหัดปฏิบัติแล้วมันจะหลงทาง เวลาหลงทาง สิ่งที่ศึกษามานะ ถ้าไม่มีสติปัญญาเท่าทัน มันจะเตะมันจะถีบกัน มันเอาสิ่งที่ศึกษาเล่าเรียนมานี้เป็นแนวทาง แล้วก็จินตนาการไป นี่กิเลสงอกแล้ว
เวลากิเลสมันงอก โดยปกติมันก็คือปกติ แต่เวลาจะทำอะไรไปแล้วกิเลสมันพลิกมันแพลง กิเลสงอกเลย
ทั้งๆ ที่ไม่ทำก็ปกตินะ ไม่สงสัยอะไรนะ แต่ถ้าเวลาจะเอา เอาแล้ว มันงอกแล้ว มันแสดงฤทธิ์แสดงเดชเลยล่ะ แล้วเราทำอย่างไรล่ะ นี่ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติใหม่
ฉะนั้น ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติใหม่เขาต้องให้ฝึกสติ แล้วถ้ากิเลสมันแรงมา เราก็ต้องรุนแรงกับมัน ระงับมันเป็นคราวๆ แล้วระงับบ่อยครั้งเข้าๆ เราก็ทำของเราได้
ฉะนั้น นั่งสมาธิ ทำไมต้องนั่งสมาธิ
อ้าว! ก็องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ ก็เราเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราก็มีศรัทธา ก็รื้อเราไปสิ
รื้อไปอย่างไรล่ะ
ร่างกายนี้เป็นของเสีย เป็นของเน่าเหม็น เป็นอสุภะ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ
แล้วจิตใจล่ะ
จิตใจ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแต่ละภพแต่ละชาติไง เกิดเป็นผี เป็นเปรต เป็นนรกอเวจี นั่นเป็นนามธรรมทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ว่าเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม โอปปาติกะ นั่นจิตวิญญาณทั้งนั้นน่ะ
เพราะจิตนี้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ก็รื้อหัวใจ ก็รื้อจิตนั่นไง
ฉะนั้น เวลาเราฝึกหัดๆ หน้าที่การงานของเรา ปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อเลี้ยงชีพ เลี้ยงร่างกายนี้ แล้วหัวใจล่ะ
ร่างกายนี้เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย ในปัจจุบันนี้เขาเปลี่ยนอวัยวะเลย หัวใจก็เปลี่ยนได้ ที่ไหนก็เปลี่ยนได้ แต่ก่อนมันเปลี่ยนไม่ได้ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาก็ต้องทนทุกขเวทนาไป ในปัจจุบันนี้เปลี่ยนได้โดยความเจริญทางการแพทย์ แล้วแก้กิเลสได้ไหม มันก็ตายหมดเหมือนกันไง
ฉะนั้น ทำไมต้องทำความสงบของใจ ทำไมต้องทำความสงบของใจ แล้วผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติเขาไม่ต้องทำความสงบ ใช้ปัญญาไปเลย ลืมตาไง สมาธิลืมตา เราก็ลืมตาปฏิบัติไปเลย
เราก็ลืมตา เดินจงกรมใครไปหลับตา เดินจงกรมเวลาจิตมันสงบน่ะ ลงกลางทางจงกรมเลย ลืมตาอยู่นี่ ลืมตา จิตสงบมันก็สงบ คือจิตสงบ สัมมาสมาธิ
หลับตาๆ ถ้านั่งหลับมันก็หลับไปเลย ไม่ใช่สมาธิ
แต่ถ้านั่งอยู่ มีพุทโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตมันละเอียดเข้ามา สติสัมปชัญญะมา เวลามันวูบ มันจะดิ่งลง ตกใจ
เวลาขณิกสมาธิ เออ! มีความสงบสุขดีอยู่ อุปจาระก็ยังรู้ของมันอยู่ ถ้าลงอัปปนามันจะสักแต่ว่าปรากฏเลย ทั้งตกใจ ลมหายใจก็จะขาด ลมหายใจมันจะหายไปไง มันเบา แต่ธรรมชาติมันมีของมัน หายใจทางผิวหนังก็ได้
จิตนี้มหัศจรรย์นัก มันตกอกตกใจ นี่เวลาถ้ามันจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา
ถ้ามันจะตกอกตกใจ เห็นไหม กิเลสมันงอก แต่ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกหัดปฏิบัติมาจนมีความชำนาญนะ อะไรก็ได้ สติ มหาสติ สติอัตโนมัติ จิตจะไปทางไหน เชิญ สติเท่าทันทั้งนั้น จะพลิกจะแพลงมาช่องไหนทันหมดน่ะ กิเลสมันจะหลอกมันจะลวง มันงอกไม่ได้ ถ้ามีสติปัญญาเท่าทันนะ กิเลสงอกเป็นไปไม่ได้ ไม่ให้มันโผล่มาเลย ไม่ให้โผล่มาเลย
เราทำความสงบของใจเข้ามาๆ ถ้าใจสงบระงับแล้ว สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
ไม่มีอำนาจวาสนาก็ติดสมาธิ สมาธิทำล้มลุกคลุกคลาน ทำสมาธิไม่เป็น จะทำสมาธิขึ้นมาบ้าง เพราะถ้าทำสมาธิ ถ้าจิตมันเป็นสมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ เป็นสมาธิแล้วมันก็อยู่ที่จริตนิสัยที่มันจะออกรู้ การออกรู้ ออกรู้ในเรื่องอะไร
มีการศึกษามามากน้อยขนาดไหน ถ้ามีการศึกษามาจบ ๙ ประโยคมันรู้อยู่แล้ว มันคิด มันรู้ด้วย สวรรค์กี่ชั้น นรกกี่ชั้น รู้หมด มันเป็นไปหมดล่ะ
นี่ไง แล้วถ้ามันติดสมาธิ มันก็ว่าสิ่งนั้นเป็นมรรคเป็นผล ถ้าสิ่งนั้นเป็นมรรคเป็นผล มีอะไรเป็นเหตุเป็นผลล่ะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง พระพุทธศาสนา กาลามสูตร ห้ามเชื่อ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อผลฟังเทศน์จากใครมา ไม่เชื่อถึงผลการฝึกหัดปฏิบัติ ทดสอบๆ ตรวจสอบ ถ้าตรวจสอบขึ้นมา มันเป็นจริงหรือ ถ้าติดสมาธิ ว่ามันเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมา แล้วถ้าเวลาจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา จากเนื้องอกมันจะเป็นมะเร็ง
ถ้าทำความสงบคือสมถกรรมฐาน สมถกรรมฐาน ทำความสงบของใจเข้ามาๆ กิเลสมันก็พลิกมันก็แพลง มันก็หลอกก็ลวงโดยซึ่งหน้า ความเป็นซึ่งๆ หน้า
เวลาถ้าเราเท่าทันมันนะ ด้วยความเพียรของเรา ด้วยความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา มันจะผิดมันจะถูกขนาดไหน มันจะพลิกมันจะแพลง มันจะหลอกจนกว่าเราจะฉลาด หลอกจนกว่าเราจะมีสติเท่าทันมัน มันก็สงบระงับของมันเข้ามาได้ แล้วเราก็ไม่ติดด้วย
เพราะสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ๆ ถ้าไม่มีสมาธิจะรู้จักจิตของตนได้อย่างไร ไม่มีสมาธิจะรู้จักตัวเราได้อย่างไร ไม่มีสมาธิจะรู้หรือว่าใครเป็นคนเกิด ใครเป็นคนแก่ ใครเป็นคนเจ็บ ใครเป็นคนตาย นี่ไง ก็สัมมาสมาธินี่ไง ก็ความปกติสุขนี่ไง แต่เพราะว่ามันไม่มีอำนาจวาสนา
สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน
โดยการฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาโดยครูบาอาจารย์ของเรา ในสมถะก็มีวิปัสสนา ในวิปัสสนาก็มีสมถะ
ใช่ ถูกต้อง ถ้าผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติเป็น แล้วผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติแล้วตามทำนองคลองธรรม ตามความถูกต้องชอบธรรมโดยที่ไม่ให้กิเลสงอก แล้วไม่ให้กิเลสงอกแล้วกลายเป็นเนื้อร้ายอีกต่างหาก ถ้ากลายเป็นเนื้อร้ายเพราะอะไร เพราะจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันไม่มีอะไรวิปัสสนา มันเป็นวิปัสสนึก จิตมันส่งออก โดยขาดสติ โดยขาดปัญญา มันถึงไม่มีเหตุมีผลไง
เวลาจินตนาการอะไรไปก็ “โอ้โฮ! ถ้ารู้เท่าทันมันแล้ว มันไม่มี”
คำว่า “รู้เท่าทันแล้วไม่มี” คือไม่เห็น มันไม่เห็นได้อย่างไร กิเลสไม่รู้ไม่เห็น มันจะวิปัสสนาอะไร จิตสงบแล้วจะเห็นกาย เห็นกายอย่างไร
ครูบาอาจารย์ กายานุปัสสนา การพิจารณากาย จิตสงบแล้วให้พิจารณากาย ทุกคนพูดอย่างนั้น แต่พิจารณากายไม่เป็น แล้วกิเลสมันงอก แล้วมันพลิกแพลงกลายเป็นมะเร็ง กลายเป็นมะเร็งมันเน่าเฟะ
เวลาเนื้องอกนะ เวลามันกดทับนะ เจ็บไข้ได้ป่วย แต่มันไม่ใช่เนื้อร้าย ถ้าแก้ไขตัดออก ตัดเนื้องอกออกก็จบ แต่ถ้าเป็นมะเร็ง มันมีราก มันมีเชื้อ เดี๋ยวมันก็ลาม มันไปใหญ่เลย นี่พอออกใช้ปัญญาไง “แหม! วิปัสสนาๆ บรรลุธรรม ธรรมะมันมีอยู่โดยดั้งเดิม มันรู้หมดเลย”
เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนี้มันก็เป็นมะเร็ง มะเร็งก็คือทำร้ายตัวเองไง มะเร็ง เห็นไหม
ถ้าเนื้องอกมันกดทับ กดทับมันโดยสมถกรรมฐาน โดยความซึ่งหน้า แต่ถ้ากิเลสมันพลิกมันแพลงนะ โดยการใช้สติปัญญานะ มันพลิกแพลงจนล้มลุกคลุกคลานไป ล้มลุกคลุกคลานไปแล้ว เวลามันมีรากไง มันมีเชื้อไง มะเร็งแต่ละชนิดไง มันมีเชื้อ มันก็ทำให้สิ้นชีวิตด้วยความเจ็บปวด ด้วยความทุกข์ทรมาน แต่โดยกิเลสมันพลิกมันแพลง อาการเจ็บปวด อาการทุกข์ทรมานนั่นบรรลุธรรมหรือ เป็นอย่างนั้นจริงๆ หรือ
ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ เราทำความสงบใจเราเข้ามา ใจสงบแล้ว การเห็นกายๆ นะ การเห็นกายเห็นแล้วมันเห็นโดยจิตไง จกฺขุํ อุทปาทิ โดยจิตเห็น เห็นจากภายใน
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของคนที่เกิดเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์แล้วศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนามาบวชเป็นพระก็พระสมมุติไง ก็มนุษย์เหมือนกัน แต่เป็นเพศของสมณะ เป็นนักรบ
ถ้าจิตสงบแล้วถ้ามันเห็นกาย เห็นกายอย่างไร เห็นกายโดยรูปแบบใด
เจโตวิมุตติ จิตสงบแล้วจะเห็นกาย จะเป็นอุคคหนิมิตมันไง จะเห็นภาพสิ่งใด จะเห็นเป็นลักษณะใดร้อยแปดพันเก้า เพราะเกสา โลมา นขา ทันตา ตะโจ อาการ ๓๒ ไง ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เราจะเห็นหนัง เห็นผิวหนัง เห็นเนื้อ เห็นต่างๆ แล้วแต่เห็น
แล้วเห็นแล้วหลุดมือหมดล่ะ การเห็นกายเห็นอย่างไร
ถ้าเห็นกายนะ โดยชัดเจนขึ้นมานะ โอ้โฮ! สะอึกเลย
แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ถ้าแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ไง มันเป็นภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่กิเลสงอกจนเป็นมะเร็ง เป็นมะเร็งมันเป็นพิษร้าย พิษร้ายทำลายไง ทำลายใคร ทำลายความเพียรอันนั้น ทำลายความวิริยะ ความอุตสาหะมา
เวลาเราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นข้อเท็จจริง เป็นข้อเท็จจริงในหัวใจของตน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง ถ้าเหตุมันถูกต้องชอบธรรมขึ้นมา เห็นไหม ต้นตรง ท่ามกลาง และที่สุด มันจะเป็นข้อเท็จจริงของมันไป ต้นคด กิเลสมันงอก
โดยธรรมชาติเราก็มีกิเลสอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าไม่มีกิเลส ทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเย้ยมารล่ะ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พญามารเจ้าวัฏจักรคร่ำครวญร้องไห้ไปฟ้องลูกสาว ความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ กิเลสมันมีไหม
เราเกิดมามันมีของมัน กิเลสมันเป็นนามธรรม แล้วกิเลส ดูสิ โทสจริต โมหจริต โลภจริต มันเป็นจริตนิสัยของคน แล้วเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาเป็นอริยทรัพย์ หน้าที่ของเรา เราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาให้มีมรรค ๘
มรรค ๘ เป็นมรรค เป็นธรรมขันธ์ เป็นขันธ์ที่ยอดเยี่ยมที่จะไปประหัตประหารกิเลส จะจับกิเลสมาฟาดมาฟันจนกิเลสตายต่อหน้า
เวลาครูบาอาจารย์ของเราไปเพื่อประพฤติปฏิบัติขึ้นมาไง เวลากิเลสมันตายอย่างนี้ ยถาภูตัง รู้ว่ากิเลสตาย เกิดญาณทัสสนะ เกิดความรู้แจ้ง แต่ละชั้นแต่ละตอน คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ ในการฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา
นี่เหมือนกัน เวลาเราฝึกปฏิบัติขึ้นมา โดยธรรมชาติเรามีกิเลสอยู่แล้ว เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ แต่ด้วยศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาจะทำความสงบของใจเป็นสัมมาสมาธิไง ถ้าเป็นสัมมาสมาธิ สมาธิมีมากมีน้อยขนาดไหน เราก็ฝึกหัดของเรา
เวลาฝึกหัด ปัญญาอบรมสมาธิๆ มีสติมีปัญญามากน้อยขนาดไหน เวลามีความคิดขึ้นมานะ เราไม่ใช่ไปเอาสติปัญญาที่ไหนมากรองใจเราหรอก ปัญญาอบรมสมาธิ เพราะว่าเราจะค้นคว้าหาใจของตน ความคิดมันเป็นตัวแทน
เพราะความคิด จิตมันส่งออกเสวยอารมณ์มันถึงเป็นความคิด แล้วพอความคิดขึ้นมามันก็มีอารมณ์ไง พอความคิดมันสุขมันทุกข์ขึ้นมา เราก็มีสติปัญญา สุขอะไร ทุกข์อะไร คิดอะไร ทำไมถึงคิด นี่คือปัญญาอบรมสมาธิ
เพราะสรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง แม้แต่ชีวิตมันชราคร่ำคร่า แล้วความคิดมันเกิดดับๆ ตลอดเวลา มันไม่เคยแก่ จะแก่ จะเฒ่า จะเล็ก จะน้อย คิดได้เหมือนกัน แต่อยู่ที่วุฒิภาวะ เด็กก็คิดอย่างหนึ่ง ผู้ใหญ่ก็คิดอย่างหนึ่ง ผู้เฒ่าก็คิดอย่างหนึ่ง
แล้วถ้าใครมีสติปัญญา สติปัญญาคิดเรื่องอะไร คิดทำไม คิดเพื่ออะไร สติตามความคิดไป พอมันคิด มันรู้เท่ารู้ทัน มันคิดจบแล้ว เออ! คิดอะไร นี่รู้เท่ารู้ทัน
ตามรู้ตามเห็น ตามรู้ตามเห็นนะ มันคิดไปแล้ว จบแล้ว มันถึงจะรู้ตามรู้ตามเห็น
รู้เท่ารู้ทันขณะคิด ขณะที่มันคิดน่ะรู้เท่ารู้ทัน
รู้แจ้งแทงตลอด เวลาจะคิดนะ เอ๊อะ! เอ๊อะ! ชี้หน้ามันได้เลย นี่ถ้าผู้ที่ชำนาญ นี่ปัญญาอบรมสมาธิ
อบรมสมาธิเพื่ออะไร
อบรมสมาธิเพื่อเป็นพื้นฐานของการฝึกหัดยกขึ้นสู่วิปัสสนา ยกขึ้นสู่วิปัสสนาคือจะรู้แจ้งแทงตลอดกิเลสในใจของตน แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาในระดับนี้มันจะเห็นเลยล่ะว่าเวลากิเลสหยาบๆ เป็นอย่างไร เริ่มต้นเราล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน
ถ้าล้มลุกคลุกคลานมา ปุถุชนคนหนา หนาไปด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์
เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหาความทะยานอยาก มันมีอยู่โดยข้อเท็จจริง แต่เรายังไม่รู้เท่ารู้ทัน เรายังไม่ได้มีสติปัญญาเท่าทันมัน เราจะไม่สามารถเท่าทันมันได้ มันก็เลยเป็นกิเลสงอก ปฏิบัติแล้วมันงอกให้เลย แล้วมันก็กลายเป็นเนื้องอก มันไม่เป็นธรรมไง
ถ้าเป็นธรรมมันสงบเข้ามา สงบเข้ามาเพราะอะไร
ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ เหตุที่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ นวกรรมคือจิตมันกระทำงาน
เวลาฝึกหัดปฏิบัติไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้บอกทาง หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านล้มลุกคลุกคลานมาก่อน ท่านถึงบอกข้อวัตรปฏิบัติให้เป็นแนวทาง เป็นผู้ชี้ทาง
ผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติจะต้องฝึกหัดปฏิบัติของเราขึ้นมาให้เป็นตามความเป็นจริง มันถึงเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึงแห่งตน
ตนนั้นล้มลุกคลุกคลาน ตนนั้นมีวาสนาจะฝึกหัดปฏิบัติ แต่โดยกิเลสมันซับซ้อน โดยธรรมชาติกิเลสมันมีของมันอยู่แล้ว กิเลสเป็นผู้ทำลาย ธรรมเป็นผู้สร้าง ผู้สร้างสติ ผู้สร้างสมาธิ ผู้สร้างปัญญา เราจะสร้างสมของเราขึ้นมาให้มันเป็นข้อเท็จจริง
การสร้างสมถ้ามันไม่เป็นข้อเท็จจริง มันก็เป็นสัญญา เป็นความจำ แล้วมันก็ให้ผลจืดชืด ให้ผลล้มลุกคลุกคลาน ให้ผลน่ะ แต่การที่ให้ผลจืดชืด ให้ผลเป็นความเครียด ให้ผลเป็นความวิตกกังวล อันนั้นมันเกิดจากความผิดพลาด มันเกิดจากการกระทำที่ยังไม่เป็นมัคโค ทางอันเอก มัคโค ทางสายกลางในพระพุทธศาสนา
ฝึกหัดปฏิบัติจะล้มลุกคลุกคลานมากน้อยขนาดไหนก็อยู่ที่สติปัญญาความรอบคอบของเรา แล้วความจงใจ ความตั้งใจ เป้าหมาย จะเอาให้ได้
ถ้าจะเอาให้ได้นะ เริ่มต้นมันก็มีความเครียด มีความวิตกกังวล มันเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ เป็นเรื่องธรรมดา มันอยู่ที่จริตนิสัย อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน ใครจะทำได้มากได้น้อยขนาดไหน แต่เขาก็ทำของเขา เพราะนี้เป็นหนทาง นี้เป็นนักรบ
เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาขนาดนี้ แล้วเราไม่ทำนี่มันแปลก โอกาสอย่างนี้หาไม่ได้ โอกาสที่คนจะมีวาสนาการกระทำแบบนี้ เพราะไม่มีใครต้องการไปทุกข์หรอก
โดยทางโลก “ชีวิตนี้มันก็ทุกข์พอแรงอยู่แล้ว ยังจะต้องไปมีความทุกข์ซับซ้อน จะต้องปฏิบัติอีกหรือ”
นั่นน่ะคนไม่มีวาสนาอะไรเลยนะ เขาคิดไม่ได้ เขาคิดไม่ถึง
แต่ถ้าคนมีวาสนานะ เขาหาหนทางออกไง หาหนทางออกจากวัฏฏะ หาหนทางออกให้ได้ ออกเพื่ออะไร ออกเพราะชีวิตนี้ไง
เวลาเกิดมานี่ไม่รู้ เกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก พ่อแม่ให้ชีวิตนี้มา แล้วไม่รู้ เพราะมาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ จุตูปปาตญาณ อนาคต อดีตอนาคตไปของมันตลอดเวลา ปัจจุบันคือจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ปัจจุบันก็คือตัวเรานี่แหละที่มันจะหมุนไปๆๆ
เกิดมาจากเวรจากกรรม กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา แล้วเกิดมาชาตินี้มันจะหมุนไปโดยการกระทำของตน ชาติปัจจุบันนี้ไปเผชิญกับกิเลส แล้วกิเลสมันบีบบี้สีไฟชีวิตเราอยู่นี่ เรายังไม่รู้ตัว แล้วยังใฝ่ดีนะ ชีวิตนี้จะเอาให้เจริญรุ่งเรือง จะประสบความสำเร็จในชีวิต...ตายเปล่าๆ เลยน่ะ
แต่ถ้าดีและชั่ว กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ดีหรือชั่ว จะทำให้เกิดต่อไป แล้วปัจจุบันนี้ถ้าเราเผชิญกับกิเลสในชาติปัจจุบันนี้ แล้วถ้ามีอำนาจวาสนา เราจะฝึกหัดปฏิบัติ นี่เป็นสมบัติของเราแล้ว วาสนาอยู่ที่นี่ไง
พาหิยะฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ พระก็แปลกใจไปถาม “อยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฟังเทศน์ทุกวันเลย ปฏิบัติ โอ้โฮ! ทั้งวันทั้งคืนเลย เกือบเป็นเกือบตาย ไม่เห็นได้เป็นพระอรหันต์สักที”
พาหิยะมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียว
“เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วถอนอัตตานุทิฏฐิ ไอ้ที่รู้เห็นว่าว่างนั้นให้ได้”
พาหิยะเป็นพระอรหันต์เลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันด้วย
แล้วเขาถามว่า “ทำไมเขาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์เลย ไอ้เกล้ากระผมปฏิบัติกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกือบตายไม่เห็นได้อะไรเลย”
เมื่ออดีตชาติ ชาติก่อนเขาเคยเกิดเป็นพระไปศึกษากับพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ขึ้นไปบนหน้าผาตัด ขึ้นไปกัน ๕ องค์ ทำพะองขึ้นไปแล้วถีบลงมาเลย ภาวนาให้ได้ ถ้าไม่ได้ให้ตายบนนั้น
สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปองค์หนึ่ง เป็นพระอนาคามีองค์หนึ่ง แล้วนั่งอยู่บนนั้นตาย ๓ ทั้งพาหิยะนี้ด้วย แต่ตายก็เกิดบนพรหมไง มันเลยยาวไกล แล้วมาเกิดเป็นพาหิยะนี่
พอเขาหลงของเขา สหายที่เคยปฏิบัติในชาตินั้นเป็นพระอนาคามี มาเตือนเลย “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้ว ให้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า” เขาถึงได้ไปฟังธรรมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
ทั้งๆ ที่เขาก็หลงตัวเอง เป็นพ่อค้ามาทางสำเภา เรือล่ม เข้ามาถึงฝั่งได้ด้วยบุญกุศล ขึ้นฝั่งมา นุ่งใบไม้ขึ้นมาไง ชาวบ้านเห็นนึกว่าพระอรหันต์ อู๋ย! อู๋ย! ยกย่องสรรเสริญ ลาภสักการะมากมาย
เพื่อน เพื่อนที่ปฏิบัติมา มาเตือนน่ะ “ท่านไม่ใช่พระอรหันต์ที่ชาวบ้านเขายกย่อง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดแล้วน่ะ ให้ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า”
เขาละล้าละลัง แต่บุญนะ บุญกุศลที่สร้างมา เขาถึงได้ละลาภสักการะ มันไปไม่ได้นะ เพราะลาภสักการะล้อมหน้าล้อมหลัง โอ๋ย! คนเชิดชูบูชาทั้งนั้น เขาละ วาสนาได้สร้างอำนาจวาสนามา ละอันนั้นได้ ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการครั้งเดียวฟังเทศน์เป็นพระอรหันต์เลย
เห็นไหม จริตนิสัยที่สร้างมา คนที่สร้างมาๆ
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เวลาประพฤติปฏิบัติ พระในสมัยพุทธกาลล้มลุกคลุกคลานมากมาย ฉัพพัคคีย์ สัตตรสวัคคีย์ เป็นต้นเหตุแห่งการบัญญัติวินัยเยอะแยะไปหมดเลย ในพระไตรปิฎกบัญญัติว่าห้ามไอ้นั่น ก็แถไปๆ จากบัญญัติเป็นอนุบัญญัติๆ เต็มไปหมดเลย มีมากมาย นั่นจริตนิสัยของคน
ฉะนั้น เราศึกษาค้นคว้าแล้วเราจะเอาแต่ความข้อเท็จจริงในการปฏิบัติของเรา
ในสมัยพุทธกาลก็มีพระปฏิบัติที่ดีและชอบ พระปฏิบัติที่เหลวไหลก็มากมาย นี่เหมือนกันทั้งนั้นเพราะอะไร เพราะมันเลือกไม่ได้ เขาเกิดมาเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้ใครเกิดมาเพื่อเป็นสัทธิวิหาริกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขาได้สร้างอำนาจวาสนาของเขามา เขาสร้างคุณงามความดีของเขามาเป็นจริตนิสัย ฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหนเดียวเป็นพระอรหันต์ พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ สร้างอำนาจวาสนามา ปรารถนาเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา ได้สร้างอำนาจวาสนาของเขามา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราสร้างคุณงามความดีของเรามา เรามีอำนาจวาสนา เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราบวชเป็นพระจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา หน้าที่การงานมันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาของข้อวัตรปฏิบัติไง เพราะการเกิดเป็นมนุษย์มันต้องมีปัจจัยเครื่องอาศัย มาบวชเป็นพระ พระก็มีบริขาร ๘ สิ่งที่อาศัยกันอยู่นี่มันเป็นสมบัติของสงฆ์ สมบัติส่วนกลาง ก็ดูแลรักษา รักษาแล้วฝึกหัดหัวใจของเราไปด้วย แล้วเวลาของเรา เราก็พยายามสงวนเวลาของเราเพื่อจะดูแลหัวใจของตน
ถ้าดูแลหัวใจของตน ไม่ให้กิเลสงอก ถ้าทำความสงบของใจได้ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามีอำนาจวาสนานะ มีผู้ที่ปฏิบัติมากมาย จิตสงบแล้วเห็นกาย เห็นแล้ว โอ้โฮ! มันสะดุ้งสะเทือนไปหมด แต่ก็แค่นั้นน่ะ
เราฟังมาเยอะ คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์แล้วฝึกหัดปฏิบัติ หลายๆ คนมากเขาฝึกหัดแล้วเขาทำของเขาได้ แต่ด้วยวาสนาของตนไง หลงผิด หรือทำแล้วอย่างนั้นคิดว่านั่นคือผลของมัน แต่ไม่รู้จักเลยว่านั่นคือต้นเหตุ ต้นทางที่เราจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา
สิ่งที่เวลาเราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาแล้วจิตใจที่ลงสมาธิไม่ได้ หาหลักหาเกณฑ์ไม่ได้ ไปเที่ยวป่าช้า ไปเที่ยวไปดูซากศพเพื่อเป็นอสุภะๆ อสุภะให้เห็นมันสะเทือนใจ แต่บางคนดูไปเห็นแล้วมันไม่สะเทือนก็เยอะแยะไป เพราะอะไร เพราะเขาสร้างของเขามา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้เชิญใคร ไม่ได้เหนี่ยวรั้งใครมาให้เป็นสัทธิวิหาริก เป็นลูกศิษย์ลูกหา ไม่ใช่ เขาต่างคนเขาต้องสร้างมา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นสหชาติ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน ขวนขวายขนาดไหนเพื่อหัวใจของตน
นี่เหมือนกัน ในกึ่งกลางพระพุทธศาสนา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดปฏิบัติของท่านมา ท่านยืนยันของท่านมา มรรคผลในหัวใจของท่านมา แล้วฝึกหัดปฏิบัติเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว สิ่งที่มีคุณค่าที่สุด วิหารธรรม วิมุตติสุข สุขอันนั้นมันยิ่งใหญ่อยู่แล้ว แต่ด้วยอำนาจวาสนา ฝึกหัดสัทธิวิหาริกขึ้นมาให้เป็นธรรมทายาท ให้เป็นทายาทต่อเนื่องกันไปไง ถ้าไม่มีธรรมทายาทต่อเนื่องกันไป ใครจะเป็นคนยืนยัน
ทุกคนก็ว่าฉันถูกทั้งนั้นน่ะ ฉันจะผิดไปตรงไหน
ผิดตรงที่กิเลสมันงอกนี่ แล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนานะ มันเป็นมะเร็งเลย มันเป็นมะเร็งเพราะอะไร เพราะธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม ใครก็ทำได้ ใครประสบ ใครกินเองก็อิ่มเอง แต่ไม่รู้ว่ากินมะเร็งเข้าไป มะเร็งเข้าไปทำให้จะต้องการมอร์ฟีนหรือยังล่ะ มันเจ็บปวดจนทนไม่ได้ เจ็บปวดจนอ้าปากมา ประกาศมาว่าบรรลุธรรมตรงไหน เจ็บปวดไหม เพราะอะไร
เพราะถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ พระปฏิบัติถ้าหลงแล้วไม่เข้าใจ แล้วบอกว่าบรรลุธรรม นั้นไม่เป็นอาบัติ ถ้าตั้งใจจงใจ ปาราชิก ขาดจากพระแน่นอน ตาลยอดด้วน จะรู้หรือไม่รู้ ตาลยอดด้วน แต่ตัวเองยังไม่รู้เรื่องนะน่ะ เป็นมะเร็งไหม กิเลสงอกจนเป็นมะเร็งนั่นล่ะ ทำร้ายตัวเองทั้งนั้นน่ะ
ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา จิตสงบแล้วเห็นกาย ถ้าเห็นกาย ตั้งสติไว้ ตั้งสตินะ ให้อุคคหนิมิตตั้งอยู่ให้ได้ แล้วแยกแยะให้เป็นไตรลักษณ์ นี่ไตรลักษณ์ อนัตตาแล้ว
ถ้ามันเป็นอนัตตา เป็นอนัตตาอย่างไร
อัตตาๆ เดี๋ยวว่าสมาธิเป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตา
ใช่ เพราะกำลังจะแก้จิตไง เพราะกำลังจะแก้ใจนี้ไง เพราะมันเป็นอัตตานี่ไง มานะ ๙ มันสมบูรณ์แบบนี่แหละ แล้วมานะ ๙ สังโยชน์อันละเอียดไม่รู้ไม่เห็นด้วย ตัวเองทิฏฐิมานะท่วมหัวไม่รู้ตัว ปฏิบัติไปให้กิเลสมันเป็นมะเร็ง พลิกแพลงหลอกตัวอยู่อย่างนั้นน่ะ
ถ้าเป็นจริงๆ มันไม่ใช่ มันเห็นมาร ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ เห็นเหตุ ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ การแก้ต้องแก้ที่เหตุนั้น แล้วเหตุนั้นน่ะมันผูกมัด สังโยชน์มันร้อยรัดกดถ่วงบีบคั้นจนเจียนตาย แต่ไม่เคยตาย คนน่ะตาย มันหลอกจนตาย แต่จิตไม่ตาย ตายแล้วก็ระหกระเหินต่อเนื่องไป จุตูปปาตญาณ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เพราะเราเห็นโทษของการเกิดและการตาย เกิดแล้วก็มาพยายามฝึกหัดประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี้ หนทาง มัคโค ทางอันเอกในพระพุทธศาสนา
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นค้นคว้ามาให้สมบูรณ์แบบแล้ว สมบูรณ์แบบเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ โดยความชอบธรรม พญามารตาย ตายจากใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เผยแผ่ธรรมๆ เป็นประโยชน์ เป็นคุณกับวัฏฏะมากมายมหาศาล
กึ่งกลางพระพุทธศาสนาเจริญอีกหนหนึ่ง ก็มีครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดปฏิบัติมาแล้วมีหลักมีเกณฑ์ในใจดวงนั้น เห็นคุณค่าของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นสัจจะเห็นความจริงในใจของตน
แต่สังคมโลกเขาก็ระหกระเหินไป ตัวเองก็มีกิเลสอยู่แล้ว มาเจ๊าะแจ๊ะๆ ปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ มันก็เป็นกิเลสงอก จะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นไปมันก็เลยงอกจนกลายเป็นมะเร็งไปเลย ปัญญาๆ บรรลุธรรมนั่นน่ะ
ถ้าเป็นจริงเป็นจัง มันจะชำระล้างต้นเหตุการกิเลสงอก เนื้องอกอย่างไร ก็กิเลสสงบตัวลงไง
สัมมาสมาธิคือกิเลสสงบตัวลงก่อน กิเลสสงบตัวลงแล้วเราฝึกหัดใช้ปัญญาโดยสมาธิที่เบาบางลง กิเลสมันก็ฟื้นตัวมา กิเลสมันก็คอยหลบคอยหลีก คอยพลิกคอยแพลงกับหัวใจเราอยู่แล้ว แล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาเพื่อจะชำระล้าง ฆ่ากิเลส ทำลายกิเลสออกจากใจเป็นชั้นเป็นตอนนะ เวลากิเลสมันขาดไปๆ เบาตัว เบาหัวใจ แล้วมีจุดยืน มีหลักมีเกณฑ์
พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆ เวลามันขาด สมุจเฉทปหาน นิโรธ ดับทุกข์ กิเลสขาด แต่ขาดโดยหลานมันเท่านั้นเอง เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำ เพราะอะไร
เพราะนางวิสาขาเป็นพระโสดาบัน นั่นแหละพระโสดาบันที่แท้จริง พระโสดาบันที่แท้จริงเพราะอะไร เพราะว่าไม่ลูบไม่คลำในศีลไง ไม่ลูบไม่คลำในศีล ศีลนั้นชัดเจนในหัวใจของนางวิสาขา
เวลาบุคคลที่เชื่อถือได้ในอนิยต ๒ บุคคลที่เชื่อถือได้ เพราะนางวิสาขาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผ่านไปเห็นพระนั่งคุยอยู่กับผู้หญิงไง ไปรายงานองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เรียกมาตรวจสอบตั้งอนิยต ๒ ลับหูลับตา ผู้ที่เชื่อถือได้ถ้าปรับอาบัติอย่างไรให้เป็นอย่างนั้น
เพราะผู้ที่เชื่อถือได้คือไม่ลูบไม่คลำในศีล เขาไม่โกหก เขาไม่มดเท็จ เขาไม่ทำสิ่งที่ไม่เป็นจริง พระโสดาบัน บุคคลคู่ที่ ๑ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง นี่แค่หลานมัน
ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา แล้วมันชัดเจนไหม มันชัดเจนตรงไหน มันชัดเจนใน ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ในพระพุทธศาสนา
ในพระพุทธศาสนานี้ ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้ว จนถึงว่ากึ่งกลางพระพุทธศาสนามรรคผลนิพพานไม่มีแล้วล่ะ
เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดปฏิบัติของท่าน อกาลิโก ไม่มีกาลไม่มีเวลา ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม ถูกต้องชอบธรรม แล้วปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เพราะหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่ต้องการให้ใครนับถือว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลย ท่านไม่ต้องการให้ใครยอมรับด้วย แต่สัทธิวิหาริกที่มีอำนาจวาสนา อย่างเช่นหลวงปู่ตื้อ หลวงปู่พรหม ท่านแสวงหาครูบาอาจารย์ของท่าน ท่านขึ้นไปหาหลวงปู่มั่น
เห็นไหม ท่านไม่ต้องการให้ใครนับถือ ไม่ต้องการให้ใครเชื่อ แต่ผู้ที่แสวงหาด้วยกัน ผู้ที่ต้องการความจริง ความจริงเพราะระหกระเหินไง ปฏิบัติอยู่นี่ ล้มลุกคุกคลานอยู่นี่ไง
เวลาปฏิบัติไปกิเลสมันงอก มะเร็งมันงอก แล้วแก้อย่างไร แก้อย่างไร ก็แก้จากกิเลสงอกก็กลายเป็นมะเร็งงอก จากมะเร็งงอกมันก็จะเอามอร์ฟีน พอมอร์ฟีนมันฉีดเข้าไปแล้วมันก็ละเมอเพ้อพก ตัวเองรู้ตัวไหม ตัวเองเข้าใจไหม ถ้าตัวเองไม่เข้าใจ เห็นไหม
เพราะหลวงปู่ตื้ออย่างนี้ หลวงปู่ชอบอย่างนี้ เป็นสุภาพบุรุษนะ เป็นคนจริง แล้วเขาต้องหาความจริง มันยังเอาความจริงในหัวใจของตนไม่ได้ จะต้องตะเกียกตะกายขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นน่ะ แล้วหลวงปู่มั่นเวลาสับเวลาโขก โขกเพราะอะไร เพราะท่านรู้จักกิเลสไง
นางวิสาขา บุคคลที่เชื่อถือได้ พระโสดาบันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ คำว่า “เชื่อถือได้” ในพระพุทธศาสนาไง
ไอ้ของเรากิเลสมันเชื่อถือไม่ได้ กิเลสในใจมันเชื่อถือไม่ได้ เราถึงมาฝึกหัดปฏิบัติกันอยู่นี่ไง ฝึกหัดปฏิบัติเริ่มต้นถ้าทำสมาธิ ทำความสงบของใจ นี่เนื้องอก กิเลสมันงอกขึ้นมา งอกขึ้นมาจนเราก็คลำไม่ถูกว่ามันงอกตรงไหน แล้วงอกอย่างไร
แต่ถ้าฝึกหัดจนชำนาญในวสีนะ แล้วมีวาสนา เพราะอะไร เพราะสัปปายะ สถานที่เป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ
ถ้าเป็นสัปปายะมันพูดได้ มันพูดและมันฝึกหัดปฏิบัติกันในสถานที่ที่เป็นสัปปายะ คุยธรรมะได้ แต่ในสังคมโลกใครเขาจะเชื่อ ในสังคมโลกเขาว่าเอ็งบ้า
หลวงตาพระมหาบัวท่านบอกเลยนะ ถ้าเราพูดออกไปโดยที่สังคมยังไม่เชื่อ เขาว่าเราบ้าแน่ๆ เลย
ใครก็ว่าบ้า นี่พระบ้า บ้าอะไร
พระบ้าธรรมะ อยากได้ธรรม ไม่บ้ากับโลก ไม่ให้กิเลสงอก มะเร็งงอกมากดทับใจ ถ้ามันกดทับใจเรา มันเห็นผิดเป็นถูกไง
สิ่งที่เป็นคุณงามความดีไง บุคคลที่เชื่อถือได้เขามีศีลมีธรรมของเขา เรามาบวชเป็นพระ เราจะฝึกหัดปฏิบัติโดยเบสิกไง สัปปายะ ๔ ไง ถ้าสัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ ๔ มันจะทำให้จิตใจเราสงบระงับเข้ามาให้ได้
มันบอกเลยล่ะ มันบอกเลยว่าใฝ่ดี ใฝ่โลกหรือใฝ่ธรรม ถ้าใฝ่ธรรมๆ มันจะอยู่ในกรอบ อยู่ในใฝ่ธรรม เพราะว่านี่เป็นหนทาง ถ้ามันใฝ่โลก กิเลสงอกแล้ว เดี๋ยวมะเร็งก็งอก แล้วมันก็จะหามอร์ฟีน แล้วก็กดเยอะๆ ให้เคลิ้ม “บรรลุธรรม” มันมีอยู่จริงหรือ
ถ้ามันมีอยู่จริงนะ หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเลือกของท่าน แล้วสุภาพบุรุษสัทธิวิหาริกของท่านที่ขวนขวายๆ ไปให้ท่านโขกให้ท่านสับ เพราะอะไร เพราะตัวเองรู้เท่าไม่ได้ ตัวเองก็มหาบุรุษเหมือนกัน แต่มันเอาอย่างไรให้อยู่ล่ะ
ประวัติครูบาอาจารย์ของเรา เห็นไหม มันต้องมีที่มาที่ไป กว่าจะเอาหัวใจของตนอยู่ให้ได้ แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาให้ได้ ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ปัญญาแล้วต้องคอยประคอง คอยดูแล ทอดทิ้งอะไรไม่ได้
ถ้าทิ้งสมาธิ ปัญญาที่ใช้อยู่นั้นจะเป็นสัญญา ปัญญานั้น ต้นไง ฐาน การรองรับเพื่อให้เกิดสติปัญญา เวลาฝึกหัดปฏิบัติไปมันจะเป็นมหาปัญญาเชียวนะ
ไอ้ที่ว่าทำก็ทำไม่ได้ แล้วเวลาจะเข้าไปสู่ปัญญา ปัญญามันเป็นอย่างไร ภาวนามยปัญญา โลกุตตรธรรมมันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วถ้ามันเกิดขึ้นแต่ละรอบ แต่ละรอบแต่ละวงของมัน เวลามันกำจัดกิเลสเป็นชั้นเป็นตอน ความรู้สึกมันเป็นอย่างไร
นี่ไง หลวงตาพระมหาบัวท่านบอก ต้องมีขณะ ต้องมีขณะไง
แล้วขณะของใคร ขณะอย่างไร
ขณะปัจจุบันขณะ ปัจจุบันที่จิตมันพลิกมันแพลง ปัจจุบันที่มันเป็น เหมือนหลวงปู่ขาว ท่านมีของท่าน เห็นไหม จิตนี้เหมือนข้าวเปลือก ข้าวเปลือกถ้าชาวนาเขาเก็บไว้เป็นเมล็ดพันธุ์ไปปลูก มันก็จะเป็นต้นข้าว เป็นรวงข้าว เกิดข้าวรอบใหม่ ถ้าข้าวเปลือกนี้เขาเอาไปสี เอาไปหุง ถ้ามันหุงสุกแล้วมันจะไปปลูก ไปงอก คือจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ นี่ท่านเปรียบถึงภวาสวะ ถึงภพ ถึงมรรคอันละเอียดในหัวใจของท่าน เวลาคนมีเหตุมีผลไง
ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ที่เป็นพระอรหันต์ท่านจะมีเหตุและผลของการปฏิบัติ มันจะเป็นวิทยานิพนธ์ของแต่ละองค์ พระอรหันต์ไม่ซ้อนกัน พระอรหันต์ไม่เหมือนกัน พระอรหันต์พิจารณากายเหมือนกันแต่ไม่เหมือนกัน เหมือนกันไม่ได้ มันไม่เหมือนกัน ไม่เหมือนกันเพราะอะไร
กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา มันไม่มีใครทำเวรทำกรรมมาเท่ากัน เหมือนกันมาทุกภพทุกชาติ มันเป็นไปไม่ได้หรอก มันไม่มี มันมีแต่หนักและเบา เหลื่อมกันล้ำกันอย่างใด แล้วท่านพิจารณาของท่านไป มันจะเป็นชั้นเป็นตอนของท่านขึ้นไป
เวลาครูบาอาจารย์ถึงได้แสวงหาผู้ที่โขกที่สับ โขกสับเพราะไม่ต้องการกิเลสงอก ไม่ต้องการมะเร็งงอก ไม่ต้องการมอร์ฟีนใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ต้องการ
ต้องการสติ ต้องการหลักฐานคือสัมมาสมาธิ ให้จิตใจนี้เสถียรแก่การปฏิบัติ สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิเสถียร ชำนาญในวสีถึงเสถียร เสถียรขนาดไหน ทำงานแล้วมันต้องเบาบางลงเป็นเรื่องธรรมดา
สรรพสิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจัง เวลาฝึกหัดปฏิบัติ ธรรมะเป็นอนัตตา แต่เวลาถ้ามันเป็นจริง อกุปปธรรม พ้นจากอนัตตาครับ
อนัตตา ถ้าผลการปฏิบัติเป็นอนัตตา มันจะอยู่ได้อย่างไร
ผลการปฏิบัติมันเป็นอกุปปธรรม คงที่ตายตัว แต่ตายตัวแบบธรรม เป็นวิหารธรรม ไม่ใช่ของคู่
สิ่งที่ สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา เป็นของคู่ไง เจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ มีสมาธิแล้วก็ไม่มีสมาธิ มีปัญญาแล้วปัญญาเสื่อม มีอะไรก็เป็นของคู่ทั้งนั้นน่ะ นี่สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
แต่ขณะที่จิตมันเป็นไป ที่ข้าวเปลือกของหลวงปู่ขาวน่ะ มันพ้นจากอนัตตา มันเป็นวิหารธรรม มันเป็นข้อเท็จจริงในการฝึกหัดปฏิบัติ
ฉะนั้น เวลาเราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมามันต้องทดสอบไงว่า เราจะปฏิบัติอย่างไร แล้วจะได้ผลอย่างไร
เราจะปฏิบัติอย่างไรก็ปฏิบัติจากที่เราเริ่มต้นนี่ ที่เวลาเราไม่ปฏิบัติมันก็มีโอกาส มันก็คิดของมันว่าจะเป็นไปได้ แต่เวลาเข้าปฏิบัติปั๊บ กิเลสงอกทันที เป็นเรื่องธรรมดา
เพราะเวลาเราจะฝึกหัดปฏิบัติ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง แล้วธรรมสิ่งนี้จะเกิดขึ้น ธรรมสิ่งนี้จะเกิดขึ้น มันเป็นศัตรู เป็นฝั่งตรงข้ามกับกิเลส เพราะกิเลสมันต้องทำให้เรางมงาย ทำให้เราลุ่มหลง ทำให้เรายอมจำนนอยู่ในอำนาจของมันตลอด มันจะปล่อยให้เราคิด เราก้าวเดินไปตามที่ว่าเอ็งไม่พ้นจากการครอบงำของกิเลสแน่นอน อยู่อย่างนั้นน่ะได้
แต่ถ้าเอาจริงเอาจังขึ้นมา พอกิเลสมันเริ่มตั้งตัวได้ การทำสมาธิๆ เรามีความสงบ ทำครั้งต่อไประวังให้ดี กิเลสซ้อนกิเลสเลย เพราะอะไร เพราะมันก็ต้องออกกำลัง ต้องมีการกระทำเพื่อปกป้องตัวของมันโดยธรรมชาติ โดยข้อเท็จจริง
ฉะนั้น ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติจนเราเข้มแข็งได้ นี่ไง พระกรรมฐานๆ ถ้าเป็นข้อเท็จจริงนะ สังคมถึงยกย่องไง ยกย่องว่ามหัศจรรย์ ว่าอย่างงั้นเลย ทำไมควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ ทำไมทำจิตให้มั่นคงได้
นี่ขนาดคำว่า “มั่นคงได้” คือทำความสงบของใจนะ สมถกรรมฐานไง สมถกรรมฐานคือเวลากิเลสมันงอกๆ กิเลสธรรมชาติ กิเลสธรรมดา มันตรงไปตรงมาอยู่แล้ว มันฟาดฟันกับธรรมที่เราจะฝึกหัดปฏิบัติอยู่แล้ว
ฉะนั้น เวลาที่เราฝึกหัดปฏิบัติ แล้วเราถ้าจะให้มีเหตุมีผล มีการควบคุม ชำนาญในวสีๆ ถ้าชำนาญในวสีเป็นพื้นฐาน เวลาจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา นี่แหละตัวสำคัญมากเลย ตัวสำคัญที่มันจะทำให้มันเป็นโลกุตตรธรรมไง
ถ้าสัมมาสมาธิไม่มั่นคงหรือสมาธิอ่อนแอลง มันจะเป็นโลกียะไง มันจะเป็นเรื่องโลกไง นี่ที่ว่าเข้าไม่ถึงธรรม มันเข้าไม่ถึงธรรมเพราะอะไร เพราะมันเป็นโลก มันเข้าไม่ถึงธรรมเพราะมันมีกิเลส มันเข้าไม่ถึงธรรมเพราะกิเลสมันพลิกมันแพลง มันเข้าไม่ถึงธรรมเพราะกิเลสมันหลอกด้วย มันหลอกตรงไหน หลอกตรงใช้ปัญญา มันจะเป็นมะเร็งน่ะ มะเร็งมันเน่าเฟะเลยนะ เพราะอะไร
เพราะทำสมาธิๆ สมาธินี่น้ำเต็มแก้ว สมาธินี้เป็นมาตรฐาน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นน่ะมีเฉพาะในพระพุทธศาสนาเท่านั้น นี่ภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญามันจะฆ่ากิเลสด้วยมรรค ๘ วิธีการดับทุกข์ในพระพุทธศาสนา
ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม แสดงธัมมจักฯ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาพูดถึงธรรมะๆ พูดถึงเหตุ ถึงการกระทำ แล้วถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะนิโรธ มันจะมีขณะของมัน ถ้ามีข้อเท็จจริงขึ้นมา
แล้วคนที่ภาวนาไม่เป็นพูดถึงขณะไม่เป็น พูดถึงขณะไม่ได้ เพราะอะไร ฟังสิ ธรรมะ “ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม รู้เท่าก็เห็น มันเห็นธรรม มันไม่มีโกรธ ไม่มีเกลียด ไม่มีอะไรเลย”
มันไม่มีเหตุมีผลอะไรเลย มันลอยๆ มาไง นี่มันมีกิเลส มันงอกไปเป็นมะเร็งไง แล้วมันฉีดมอร์ฟีนมากเกินไป มันกลัวปวด มันฉีดมอร์ฟีน มันเคลิ้ม มันเลื่อนลอย
ครูบาอาจารย์ที่ปฏิบัติมานะ มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันจะเป็นไปได้ มันมีเหตุมีผลของมัน ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วเหตุของใคร
ด้วยเหตุ สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน เหตุในการทำสมาธิๆ
กิเลสมีอยู่ดั้งเดิม กิเลสเข้าไปรู้ก็เห็นมัน
ทำสมาธิน่ะได้ ทำสมาธิ เพราะเราไม่รู้อะไรเลยไง เราไม่เคยเห็นจิตของตน เราทำสมาธิไม่เป็น เราไม่ต้องไปรู้อะไร เรากำหนดพุทโธอย่างเดียว
แล้วถ้าพุทโธ ถ้ามันมีสติมีปัญญา มันว่ามันเป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตไง ก็ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ มีสติเท่าทันความคิดนั้นไป เดี๋ยวมันหยุดคิดให้เห็นเอง หยุดคิดนั่นน่ะคือสมาธิ
ถ้าไม่มีเหตุมีผล สมาธินี่ใช่ แต่ถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา มันไม่มีเหตุมีผลได้อย่างไร เพราะมันใช้ภาวนามยปัญญา เพราะว่ามรรค เวลาครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เวลาปัญญามันเกิด จักรมันหมุนๆ ธรรมจักรๆ มันมหัศจรรย์มาก
โลกเป็นกงจักร กงจักรมันประหัตประหาร แล้วเกิดมีบาปมีกรรมต่อกัน
ธรรมจักรมันฆ่าเฉพาะกิเลสในใจของตน
ฉะนั้น ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียว
เวลาธรรมจักร เห็นไหม เพราะกิเลสเป็นนามธรรม แต่มีนะ กิเลสเป็นนามธรรม ถ้ามันตาย มันก็ตายโดยนามธรรม
เหมือนเราสลบ เราสลบ จิต ไม่มีความรู้สึก เหมือนกัน เพราะเราฆ่าที่จิตไง ร่างกายปกติครับ ไม่มีอะไรยุบยอบเลยครับ มีแต่ความมหัศจรรย์ในใจของตน
การฆ่ากิเลส เห็นไหม ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้สะกิดใบไม้แม้แต่ใบเดียว นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการไว้ถูกต้องชอบธรรม แล้วคนที่ปฏิบัติแล้ว แหม! ใช่ๆ เลย เวลาจะเข้าไปเผชิญหน้ากับมัน แล้วเวลาเห็นกิเลสนะ มหัศจรรย์มาก มหัศจรรย์มาก
การเกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ ถ้าเราฝึกหัดปฏิบัติแล้วเห็นกิเลส เพราะเห็นหน้ามัน แล้วใช้สติปัญญาวิปัสสนาให้รู้แจ้งแทงตลอดในกิเลสนั้น เวลาสมุจเฉทปหาน เวลาขณะ เวลามันขาด สังโยชน์ขาด กิเลสตายต่อหน้า ยถาภูตัง กิเลสขาด เกิดญาณทัสสนะ รู้ว่าอยู่ในเกณฑ์ใด อยู่ในคู่ใด อยู่ในชั้นใด
จิตที่ต่ำกว่ารู้จิตที่สูงกว่าไม่ได้
จิตที่สูงกว่า จิตที่รอบคอบชักนำจิตที่ต่ำกว่าขึ้นมาให้เป็นผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติโดยความชอบธรรม โดยสัจจะโดยความจริงในพระพุทธศาสนา
ฉะนั้น เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาถึงเป็นบุญเป็นกุศล ชีวิตนี้เกิดมา เกิดมาด้วยบุญด้วยกุศลเป็นอริยทรัพย์ แล้วเรามาศึกษาค้นคว้า แล้วฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นจริงเป็นจังในหัวใจของตนนะ เวลาขณะ โลกธาตุนี้ไหวเลย
ขณะเล็ก ขณะใหญ่อยู่ที่อำนาจวาสนาของคน แล้วเวลาขณะเกิดขึ้น สะเทือน ๓ โลกธาตุ สะเทือนถึงเทวดา ถึงอินทร์ ถึงพรหม ไม่ใช่สะเทือนกิเลสในใจของเราเท่านั้น แล้วกิเลสตายต่อหน้า ตายต่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น เอวัง