เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เราไปวัดไปวา เราเพื่อทำบุญกุศลๆ ไง บุญกุศลน่ะมันส่งเสริม จะทำให้มันร้ายขนาดไหนมันกลับมาดีได้ ทำอย่างไรมันก็กลับมาดีของมันน่ะ ถ้ามันเป็นความดีนะ แต่ถ้ามันดื้อมันดึง ทำอย่างไรมันก็ดื้อดึงอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่ไง จริตนิสัยๆ มันเป็นบุญกุศลของคนที่สร้างมา ถ้าบุญกุศลที่สร้างมานะ ทำอย่างไรก็แล้วแต่มันไปสู่ความดีวันยังค่ำ ถ้ามันเป็นความดีๆ นะ
ฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านถึงสอนไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
แต่ของพวกเราทำดีขึ้นมาแล้วจะให้ผลตอบแทนเหมือนกับธุรกิจ ซื้อขายแลกเปลี่ยนต้องได้เดี๋ยวนั้นเลย ทุกคนคิดอย่างนั้นไง แต่มันมีกรรมเก่า กรรมใหม่ เวลากรรมเก่า กรรมเก่ามีการกระทำสิ่งใดมามันเป็นจริตเป็นนิสัย ถ้าเป็นนิสัย หวังดี ปรารถนาดี ใฝ่ดี แต่ใครจะชี้นำล่ะ
เวลาอ่านประวัติหลวงปู่มั่น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเวลาท่านออกประพฤติปฏิบัตินะ ท่านลำบากลำบนมาก ลำบากลำบนนะ
หลวงปู่เสาร์ท่านเอาเรือของท่านผูกไว้ที่แม่น้ำมูลน่ะ จะสึกๆๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ จะไปเป็นพ่อค้า จะไปพายเรือขายของ นี่หลวงปู่เสาร์ เป็นสิบๆ ปีนะ จนสุดท้ายท่านตัดสินใจ ไปถึงไปปลดเรือ ปล่อยให้มันลอยไป
นี่ไง คนมันมีบุญกุศล มันเป็นความดีๆ
เอาเรือมาผูกไว้นะ สมัยโบราณคมนาคมมันทางเรือทางน้ำ แล้วเอาเรือมาผูกไว้ แล้วอยู่บนกุฏิ จะสึกไปขายของ จะสึกไปเพื่อประกอบอาชีพ เตรียมไว้พร้อมนะ แล้วก็คิดแล้วคิดเล่า คิดแล้วคิดเล่า ถึงเวลาแล้วนะ ท่านเอามีดสับเชือกผูกปล่อยไปเลย จบ จบกันที ไม่ต้องมาคิดอยู่อย่างนั้น เห็นไหม
สิ่งที่เวลาครูบาอาจารย์ท่านบากท่านบั่นของท่านมา ท่านบากบั่นของท่านมา หนึ่ง ในความรู้สึกนึกคิดของเราก่อน ในความรู้สึกนึกคิดของเรา เราจะไปทางไหน เราเกิดมาทำไม เวลาเกิดมา เกิดมาถ้ามันมีเม็ดในที่ดีนะ มันคิดแต่เรื่องดีๆ ไง
แล้วอะไรมันคือความดีล่ะ
ความดีทางโลก สมมุติทั้งนั้นน่ะ ความดีของโลกมันความดีชั่วคราวๆ ทั้งสิ้น ทำคุณงามความดี เห็นไหม คนที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์กิตติคุณขนาดไหน ถึงเวลาแล้ววันเวลามันกลืนกินหมดน่ะ มืด สว่าง มืด สว่าง มันกลืนกินสัตว์โลกไปทั้งสิ้น ใครจะทำคุณงามความดีมากน้อยขนาดไหนถึงเวลาแล้ววันเวลามันกลืนกินไปทั้งหมด
สิ่งที่เป็นความจริงๆ ไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ฉะนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันเป็นจริตเป็นนิสัย มันเป็นอำนาจวาสนาบารมีๆ คำว่า “อำนาจวาสนาบารมี” แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แข่งอำนาจวาสนาแข่งกันไม่ได้ เวลาแข่งอำนาจวาสนา ถึงเวลาแล้วบุญกุศลมันลอยมาๆ มันเป็นอย่างนั้นเลย อำนาจวาสนาน่ะ ถ้าอำนาจวาสนา ถ้ามันมีมาแล้ว อำนาจวาสนามีอยู่แต่ปัจจุบันล่ะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนกันที่นี่นะ สอนกันชีวิตปัจจุบันนี้ มีอำนาจวาสนามาขนาดไหน แต่มันไม่ต่อเติม ไม่มีการกระทำไป มันเป็นอดีตอนาคต
อดีตอนาคต ความรู้สึกนึกคิดที่ปรารถนาดี แต่เราไม่ทำคุณงามความดีก็เป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันนี้ไม่มีกำลังที่จะเข้มแข็งที่จะทำต่อไป
อนาคต สุคโตนะ ถ้าปัจจุบันนี้สุคโต เราทำความดีในปัจจุบันนี้ มันจะไปไหนล่ะ สุคโตที่นี่ไง
เราอยากตายแล้วจะไปนั่นไปนี่
ไม่ เดี๋ยวนี้สุคโต ทำคุณงามความดีเดี๋ยวนี้ ทำคุณงามความดีเดี๋ยวนี้
คำว่า “ปัจจุบันๆ” นี้ปัจจุบันของวัฏฏะ ปัจจุบันว่าบุญกุศลนี้มันมาจากไหน ทำไมเราทำดีแล้วไม่ได้ดี ทำดีแล้วไม่ได้ดี มันตัดรอน
ความดีนะ เวลากรรมของสัตว์ๆ มันขัดจังหวะ มันขาดมันแคลน มันขัดมันเขิน มันไม่เป็นความพอใจสักที แต่ถ้ามันเป็นบุญศลนะ ไม่ทำ มันก็ได้ เวลามันไม่ปรารถนา มันได้สิ่งนั้นๆ นี่คำว่า “บุญกุศล”
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนถึงอริยสัจ ท่านสอนทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ แค่เกิดเป็นมนุษย์นี้เป็นอริยทรัพย์ อริยทรัพย์จริงๆ เพราะอะไร
เพราะเวลาคนที่ภาวนาไปแล้ว ไปดูสัตว์ ดูความเป็นไปของวัฏฏะมันสลดมันสังเวช
เวลาหลวงตาท่านพูดถึงแม่ชีแก้ว แม่ชีแก้วไปเที่ยวนรก แม้แต่นรก ทำไมผีทำไมต้องมาขังคุกมันไว้ นี่แม้แต่ในนรกนะ มันมีคนพาล ยังต้องขังมันไว้อีกต่างหากเลย นี่ไง ผลของวัฏฏะๆ แล้วขนาดว่าทำบาปอกุศลไปเกิดในนรก ก็ยังไปพาลอยู่อย่างนั้นน่ะ
พูดถึงเวลามันอยู่ในภพชาติใด มันอยู่ในภพชาติใด ถ้ามันเป็นความดีงามในหัวใจของเรา เราพยายามทำของเรา แล้วพยายามทำของเรา
เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีกายกับใจๆ เวลาเกิดมาแล้วทางโลก โลกจะเจริญเพราะการศึกษา จริงๆ เพราะการศึกษา เพราะการศึกษาทางวิชาการ ปัญญาของคนทำให้คนแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ทำให้คนแก้วิกฤติการณ์ในชีวิต ทำให้คนแก้วิกฤติการณ์ของสังคม มันทำได้ทั้งสิ้นนั้นนั่นน่ะ แต่นี่มันก็เป็นอำนาจวาสนาของคนใช่ไหม อำนาจวาสนาของคน เรื่องของปัญญาๆ ปัญญาทางโลก
เวลาคนเกิดมาคนหนึ่ง คนที่มีบุญกุศลเกิดมาคนหนึ่งนะ เกิดมาคนหนึ่งเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรไง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้วสอนสามโลกธาตุๆ เทวดา อินทร์ พรหมยังต้องมาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะมันรู้ไม่ได้ มันรู้ไม่ได้
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาตรัสรู้แล้ว “จะสอนใครได้หนอ จะสอนใครได้หนอ” แต่ก็สอน สอนเพราะอะไร
สอนเพราะคนที่มีอำนาจวาสนาบารมีที่สร้างสมบุญญาธิการมา ผลของวัฏฏะ คนทำความดีๆ ความดีจนเราเห็นคนทำคุณงามความดี เฮ้ย! เขาทำได้อย่างไร ทำไมเขาทำตลอดชีวิตของเขา เขาทำได้อย่างไร แต่เขาก็ทำ แล้วมันจะฝังใจของเขาไป แล้วเวลาเกิดมา เวลาขาดตกบกพร่องสิ่งใดจะมีคนมาเจือจาน มาช่วยเหลือต่างๆ ให้พ้นจากวิกฤติอันนั้นไป ไอ้นี่ผลของวัฏฏะ
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน สอนเรื่องอริยสัจ อริยสัจ เวลาเราเกิดเป็นมนุษย์ ในปัจจุบันนี้เรามีสามัญสำนึกหรือไม่ สามัญสำนึกคือเจตนา สามัญสำนึกของเรา สามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ พอสามัญสำนึกของความเป็นมนุษย์ สิ่งที่ปัจจัยเครื่องอาศัยมันเสมอภาคกัน ประชาธิปไตยๆ คนเราต้องปัจจัย ๔ เหมือนกัน ต้องกินต้องอยู่เหมือนกัน มันเสมอภาคกัน
แล้วถ้าคนมีธรรมๆ นะ คนที่มีธรรมนะ โอ้โฮ! เราเห็นเศรษฐีมากมายเขาติดดิน เขาไปกินร้านค้าข้างทาง เขาใช้ชีวิตเขาปกติ เขามีความสุขนะ ไอ้เราพอเป็นเศรษฐี ไม่ได้แล้ว นู่นก็กินไม่ได้ นี่ก็กินไม่ได้ นี่คุณภาพชีวิตหรือ ก็กินเหมือนกัน
เราจะบอกว่า มันอยู่ที่หัวใจ อยู่ที่หัวใจของเขา ถ้าหัวใจของเขาเป็นธรรมๆ นะ ไอ้ถึงเวลาที่เราเป็นเศรษฐี เราเข้าสังคมของเรานะ เราก็ทำได้ แต่มันชีวิตธรรมดา ทำไมต้องไปทำให้เป็นชนชั้นให้มันมีปัญหาอะไรขึ้นมา ไม่มีหรอก ถ้าใจมันเป็นธรรม
คำว่า “ใจเป็นธรรม” มันทำให้หัวใจของคนคนนั้นไม่ทุกข์ไม่ยาก มันสบายไง มันติดดินไง ทำอะไรก็ได้ไง เงินเราก็มี เรื่องสิ่งใดเราก็ใช้ได้ ทำอะไรก็ทำได้หมดน่ะ เพราะอะไร เพราะเราไม่มีหัวโขน ถ้าเป็นหัวโขนก็หัวโขนของธรรม อ่อนน้อมถ่อมตน ความอ่อนน้อมถ่อมตนนะ แล้วกิตติศัพท์กิตติคุณของเขาไง ศีล กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรมหอมทวนลม
มันมีมากทางโลก ทางโลกส่วนใหญ่แล้วเราบอกว่า ศีล ๕ ในการประพฤติปฏิบัติมันทำได้ยากๆ ทำได้ยาก ต้องเข้าสังคมๆ เขาไปถามหลวงปู่ฝั้น
หลวงปู่ฝั้นบอกว่า นี่ไง เราก็เข้าสังคม เราไม่ต้องกินเหล้าเมายาเลย ลูกศิษย์เต็มศาลาทุกวันเลย นี่กลิ่นของศีลกลิ่นของธรรม
แต่พวกเราอ่อนด้อย แล้วเราเชื่ออย่างนั้น พอเราเชื่ออย่างนั้นปั๊บ อยู่ในสังคมเราไม่เข้มแข็งพอ ถ้าไม่เข้มแข็งพอนะ เราเกิดมากับโลกนะ ถ้าคนที่เป็นธรรมๆ อยู่ยากนะ
เวลาคำว่า “อยู่ยาก” โลกเขาเป็นกันอย่างนั้น เราไม่เหมือนเขา เราไม่เหมือนเขา ถ้าเราไม่เหมือนเขา เราไม่เหมือนเขา คนถ้ามีสติปัญญาเขาเก็บไว้ในหัวใจ เราพยายามทำตัวเราให้เข้ากับสังคมได้ แต่เวลาสิ่งมีปัญหาอะไรขึ้นมา เราพยายามแยกแยะ
อย่างเช่นหลวงตาท่านพูดนะ แม้แต่วงการพระ เวลาท่านเรียนเป็นมหาไง เวลาดูหนังสือแล้วมันเครียด มันต่างๆ ก็มาเดินจงกรม เวลาเพื่อนมานะ
“ทำอะไรน่ะ”
“เดินจงกรมอยู่”
“อ๋อ! จะไปสวรรค์ จะไปนิพพาน”
เวลาครั้งต่อไปรู้แล้ว มันเป็นไปไม่ได้ เราต้องมีสติปัญญาเพื่ออยู่ในสังคม เพราะเราแปลกแยกจากเขา
เวลาเดินจงกรม เพื่อนมาหาวันหลัง
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“อ๋อ! มันเมื่อย มันขบ มาเดินพักผ่อน”
ถ้าอย่างนั้นเขาไม่ติ เห็นไหม แต่ถ้าบอกจะเอามรรคเอาผล โอ๋ย! เขาติเขาเตียน เขาไม่เชื่อ เขาถากเขาถาง แต่มันเป็นการพูดแบบทั้งทีเล่นทีจริงในทางโลก
ชีวิตเราก็เหมือนกัน ถ้าชีวิตของเรา โลกมันเป็นแบบนั้น ถ้าโลกเป็นแบบนั้น เราต้องฉลาด เราต้องฉลาดกว่าโลกเขา เราฉลาดว่า เราจะทำคุณงามความดีของเราแล้ว เราต้องอยู่กับเขา เราต้องอยู่กับเขา สิ่งใดที่เป็นประโยชน์กับเรา เราก็ทำ ถ้าวันไหนมันมีเวลานะ มีเวลา เราออกประพฤติปฏิบัติของเราเลย ถ้าออกประพฤติปฏิบัติของเรา ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนตรงนี้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
หลวงตาท่านสอน ทุกคนบ่นว่าทุกข์ๆๆ ท่านบอกเลยนะ กิเลสมันมาขี้รดในหัวใจมึง แล้วมันก็ไปนอนหลับ โอ๋ย! เพิ่งรู้ว่าทุกข์ไง เพิ่งรู้ไง
นี่ไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากที่เอ็งคิดเริ่มต้นนั่นน่ะ แต่ผลของอารมณ์ที่เอ็งครุ่นคิดมา แล้วเอ็งแบกรับภาระถึงมาบอกว่าเป็นทุกข์ๆ ไง นี่ไง เป็นทุกข์ๆ เป็นทุกข์เพราะว่ากิเลสมันขับถ่ายในหัวใจเรา แล้วมันก็ไปนอนหลับอยู่ เราเพิ่งรู้ว่าทุกข์ไง นี่กระแสสังคม แต่ถ้าเป็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
เวลาครูบาอาจารย์ของเราเวลาจะประพฤติปฏิบัติ ต้องทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ทำสัมมาสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิ ถ้ามันเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา มันจะเป็นโลกุตตรปัญญา โลกุตตรปัญญา ปัญญาพ้นจากโลกไง
โลกียปัญญา ปัญญาสามัญสำนึก ปัญญาที่เราครุ่นคิด ปัญญาที่เป็นวิชาชีพ ปัญญาที่เราอยู่กับโลก โลกียะทั้งนั้นน่ะ
สิ่งที่เป็นโลกียะ เป็นโลกียะมันก็เป็นโลกียะ มันจะเป็นอะไรไป
แต่ถ้าเวลาจะประพฤติปฏิบัติ ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นจริง ถ้าจะเป็นโลกุตตระ
โลกุตตระพูดกันปากเปียกปากแฉะ เพราะจะยกสถานะของเราว่าเรานี่เป็นปัญญาโลกุตตระ เรานี่เหนือโลก เรานี่เหนือเขา ไอ้นั่นมันสมมุติน่ะ ให้ชื่อ ชื่อ ก.ไก่ ไปเปลี่ยนชื่อเป็น ข.ไข่ มันยังเปลี่ยนชื่อได้เลย แล้วนี่แค่ชื่อ แล้วมันมีความจริงหรือเปล่า
ถ้ามีความจริงขึ้นมา ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา คนที่มีอำนาจวาสนาบารมีเขาบอกว่า “อ๋อ! นิพพานเป็นอย่างนี้ นิพพานเป็นอย่างนี้”
แค่สัมมาสมาธิ ถ้ามันไปรู้โดยที่วุฒิภาวะมันอ่อนแอ มันจะบอกนั่นเป็นธรรมๆ แต่ถ้าคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้ว เวลาเป็นสมาธิก็เป็นสมาธิ
เวลาเป็นสมาธินะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ เวลาเราออกประพฤติปฏิบัติ เราปฏิบัติคนเดียว เวลาปฏิบัติคนเดียว ความคิด ความฟุ้งซ่าน ความทุกข์ความยากมันเกิดจากเราทั้งสิ้น ความเครียดมันเกิดจากเราทั้งสิ้น ถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ ตั้งสติไว้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ใช้อานาปานสติ ถ้ามันสงบเข้ามา นี่ไง สมาธิ
เวลาสมาธิ เมื่อกี้มันฟุ้งมันซ่านไง มันทุกข์มันยากไง มันบีบมันคั้นไง ตอนนี้มันเป็นสมาธิมันก็มีความสุขไง มันปล่อยวางไง มันมหัศจรรย์ในใจของตัวเองไง แล้วเวลามันเสื่อมไปล่ะ เพราะอะไร
เพราะคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันต้องก้าวเดินไปเป็นระยะทางอีกมากมายมหาศาล บุคคล ๔ คู่
บุคคล ๔ คู่ ทางวิชาการเขาบอก บุคคล ๔ คู่ เอา ๘ คนมายืนคู่กัน แล้วก็พยายามจะทำให้มีศักยภาพเหมือนกัน
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติไปแล้วเขาจะรู้ของเขาเลย เวลาใจเขาพัฒนาขึ้นไป โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่
บุคคลที่เป็นบุคคลๆ บุคคลเพราะจิตมันยังเป็นบุคคลอยู่ เวลาทำสัมมาสมาธิเป็นสากล ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา แล้วเป็นใครล่ะ เอ็งเป็นใคร แล้วเวลามาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาที่มันพัฒนาขึ้นไป มันมหัศจรรย์กับหัวใจมันเองไง อ๋อ!
ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ของท่านนะ บุคคล ๔ คู่ ก็จิตใจที่มันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไปไง ถ้าจิตใจมันพัฒนาเป็นชั้นเป็นตอนของมันขึ้นไป มันขึ้นไปด้วยอย่างไร ถ้ามันขึ้นไป มันถึงจะเห็นว่าโลกียะ โลกุตตระ มันจะรู้ตรงนี้ไง
ถ้ามันโลกียะ โลกียะก็ย่ำอยู่กับที่ พระโพธิสัตว์ๆ เขาอยู่กับที่ทั้งสิ้น เพราะอะไร เพราะมันมีตัวมีตนของมัน
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป บุคคล ๔ คู่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ นิพพานมันจะมีตัวมีตนที่ไหน นิพพานมันจะกลับมาเกิดอีกได้อย่างไร ถ้ากลับมาเกิดอีกได้ มันไม่ใช่นิพพานเด็ดขาด
นี่เขายังมาเกิดๆ คำว่า “เกิด” เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้ามว่าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ถ้าไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตายมันก็สิ้นกิเลสไป
นี่เวลาสิ้นกิเลสไปแล้วจะกลับมาเกิดอีกน่ะ ยังกลับมาเกิดอีกได้ มันขัดมันแย้งกัน
ธรรมะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน มันจะเป็นทางเดียวกัน เพียงแต่ว่ามันเป็นเรื่องโลกกับเรื่องสมมุติเรานี่ไง อย่างเช่นเราสอนลูกหลานเรา เราจะไปพูดศัพท์แสงอะไรให้มันสูงส่งอะไร
ลูกเรา เราก็พยายามจะทำให้มันเข้าใจ ให้มันทำดี สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เราไม่ควรทำ สิ่งใดเราชี้แนะ ลูกของเรามันยังเป็นเด็กๆ อยู่ไง มันจะพูดคำทางวิชาการอะไรมากมายมหาศาล
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราเป็นโลกียะๆ เราก็ใฝ่ในธรรมะ ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา สิ่งใดที่มันเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังไม่พูดเลย เพราะมันไม่เป็นประโยชน์
แต่ถ้ามันเป็นประโยชน์ขึ้นมา เวลาเป็นประโยชน์ขึ้นมา พอพูดแล้วผู้ฟังมันเกิดทิฏฐิ เกิดมานะ เกิดอหังการ เกิดความสำคัญตน มันไม่ฟัง
มันไม่ฟังขึ้นมา วิธีแก้จิตๆ เขาต้องมีอุบายมีวิธีการ พยายามจะให้รู้ให้เห็นของตัวเองให้ได้ การรู้ การเห็น เราทำความสงบของใจเข้ามาแล้ว เวลาจะเป็นจริง ปัญญาในพระพุทธศาสนา ยกขึ้นวิปัสสนา การวิปัสสนาคือการรู้แจ้งในใจของตน รู้แจ้งในใจของตนน่ะ มันรู้แจ้งแล้วมันจบนะ
นี่เขาสงสัย นรกสวรรค์มีหรือไม่ ภพชาติมีหรือไม่
เวลามันรู้แจ้งในใจของตนแล้ว อะไร จะสงสัยอะไร
เวลาเกิด เกิดมาจากไหน เวลาเข้าไปสู่สัมมาสมาธิ เวลาเข้าอัปปนาสมาธิ มันอยู่ในร่างกายนี้ แต่มันปล่อยวางหมดเลย มันสักแต่ว่าเลย
แม้แต่เวลาทำสมาธิยังรู้ กายกับจิตมันแยกกันอย่างไรไง จิตนี้มันไม่ใช่ร่างกายนี้ ร่างกายก็ไม่ใช่จิต แต่มันอยู่ด้วยกันด้วยเรามีบุญมีกุศล เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไง ผลของวัฏฏะๆ แต่ธรรมะมันสูงส่งกว่านั้น ธรรมะมันเริ่มต้นมาจากจิตที่มันสงบระงับเข้ามาแล้วจิตมันค้นคว้าของมันขึ้นมา ค้นคว้าขึ้นมาในสัจธรรมที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้มา
ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับวิธีการดับทุกข์
ทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ มันทุกข์จากภายใน มันทุกข์จากตัวตน
สมบัติสัมภาระข้างนอกมันอยู่ข้างนอก คนมีปัญญามันไม่ทุกข์หรอก เพราะอะไร เพราะแบงก์มันไม่มีชีวิต เพชรนิลจินดามันไม่มีชีวิต มีอะไรบ้างที่มันบอกว่าทุกข์
เจ้าของมัน เจ้าของมันบอกว่าทุกข์ แต่เพชรนิลจินดามันไม่ได้ทุกข์
ไอ้นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าถ้าจิตมันสงบแล้วมันวางอารมณ์ความรู้สึก ความนึกคิดทั้งหมด มันวางหมดเลย แล้วมันเป็นตัวมัน นี่กายกับใจ เวลาอัปปนาสมาธิ จิตที่เป็นอัปปนาสมาธิมันอยู่ในตัวของมันเองได้โดยที่ไม่ต้องอาศัยกายนี้เลย มันรับรู้ได้เลย มันสักแต่ว่ารู้ มันไม่รู้สิ่งต่างๆ เวลามันคลายตัวออกมามันถึง อ๋อ! มันถึงขยับแข้งขยับขาได้ มันถึงรู้สึกความนึกคิดได้ อุปจารสมาธิ เวลาเป็นแค่สมาธิมันยังแยกกายแยกใจได้ แยกได้ด้วยสมาธินะ ไม่ใช่พระพุทธศาสนาเลย
พระพุทธศาสนา เวลาจิตสงบแล้วคลายตัวออกมา มันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรมตามความเป็นจริง จิตเห็นสติปัฏฐาน ๔
การประพฤติปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ มันต้องมีจิตสงบระงับแล้วจิตนั้นเป็นผู้รู้เห็นกาย รู้เวทนา รู้จิต รู้ธรรม มันถึงเป็นแนวทางสติปัฏฐาน ๔
โดยสามัญสำนึกของโลกมันท่องสติปัฏฐาน ๔ ท่อง ท่อง มันท่องทางวิชาการ มันท่อง มันไม่รู้ไม่เห็นตัวจริงเด็ดขาด
ถ้ามันรู้เห็นตัวจริงนะ มันจะบอกว่า ท่องอันนั้นโลกียะ ถ้าเห็นจริงมันจะเป็นโลกุตตระ มันเห็นจริงอย่างนี้มันถึงแยกโลกียะกับโลกุตตระ ไม่ใช่ว่ากูตั้งชื่อให้มันแล้วกูแยก พวกเราเป็นโลกุตตระ พวกมันเป็นโลกียะ ไม่มี ไม่มีพวกเขาพวกเรา ไม่มีใดๆ ทั้งสิ้น เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมา เห็นไหม
ฉะนั้น เวลาครูบาอาจารย์ท่านถึงสอน สอนให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันถึงว่า เราเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะมีสมอง มีความรู้สึกนึกคิด ทำได้ แต่ทำหรือไม่ล่ะ
ไม่ใช่ไม่ทำนะ ไม่เชื่อด้วย ศาสนาเป็นของครึ ของล้าสมัย ไอ้เรามันปัญญาชน คนรุ่นใหม่ วิทยาศาสตร์ ยอดเยี่ยม
เดี๋ยวมันกลับไปบ้านมันขอตังค์แม่มันแล้ว ยอดเยี่ยมมึงแบมือทุกวันน่ะ
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ นะ เวลาบวชเป็นพระ เวลาเราบวชเป็นพระเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง เราเดินบิณฑบาต บิณฑบาตเพื่อเลี้ยงชีพ การบิณฑบาตจะเกิดขึ้นมาได้เพราะมันมีพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนา ชาวพุทธเราจะทำบุญตักบาตร เวลาทำบุญตักบาตรนั่นก็เป็นบุญกุศลของเขา เป็นเจตนาที่ดีของเขา
ภิกษุผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติ ไม่มีอาชีพ ไม่มีความวิตกกังวลว่าจะต้องหาสิ่งใด เช้าขึ้นมาเรามีบาตร เราออกบิณฑบาต ออกบิณฑบาตไปตามบ้านตามเรือนของบุคคลที่เขามีจิตใจที่อยากจะทำบุญกุศล แล้วถ้าธุดงค์ไปไม่เจอบ้านไม่เจอเรือนก็ไม่ต้องฉัน อดวันสองวันไม่เป็นไร เจ็ดวันสิบวันก็ไม่เป็นไร อยู่ในป่ากันน่ะไม่ขบไม่ฉันแต่ใจมันเบิกบาน นี่ไง มันไม่วิตก ไม่กังวล ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่อะไรทั้งสิ้นเลย แต่ต้องหาหัวใจของตนให้เจอนะ
เราไม่ใช่เกิดมาทิ้งเปล่าๆ ไม่ใช่บวชมา บวชทิ้งเปล่าๆ บวชมาแล้วจะค้นจะคว้า จะแสวงหา ถ้าแสวงหา ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิต จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วถ้ามันทำของมันได้ มันพิจารณาของมันได้เป็นสัจธรรม สัจธรรมเกิดที่นี่
ถึงบอกว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว บุญกุศลมันส่ง บุญกุศลมันทำให้เป็นโอกาส เป็นจังหวะ เป็นสิ่งที่ชีวิตนี้มีอุดมคติที่เป็นความจริงได้ แต่ถ้ามันมีกุศลด้วย มันมีบาปอกุศลด้วย มันก็คิดครึ่งๆ กลางๆ คิดแล้วคิดเล่า จะลงใจ ไม่ลงใจ แต่ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันลงใจของมัน แล้วมันมีการกระทำของมัน
แล้วพระพุทธเจ้า หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นพยาน ท่านปฏิบัติแล้ว ท่านพ้นทุกข์ไปแล้ว คนที่ปฏิบัติแล้วพ้นทุกข์ไป เราก็เห็นๆ กันอยู่ มันเป็นของจริง
ไอ้คนไม่เชื่อมันไม่มีความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะจะทำของมันได้ มันก็กรรมของสัตว์ แต่เราเอาครูบาอาจารย์ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านสอนไง เวลาคนพูด นู่นก็ทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ ท่านบอกว่าตบปากมันซะ เราเชื่อปากสะอาดของพระพุทธเจ้า เราไม่เชื่อปากสกปรกแบบนั้น ปากสกปรกคิดโดยมาร คิดโดยสัญญาของตน
ปากสะอาด ปากสะอาดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศีล สมาธิ ปัญญา มีการกระทำ เราเชื่อตรงนั้น เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง เห็นจริงในใจของท่าน พ้นจากความทุกข์ไป มันเป็นความจริง เอวัง