เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรานะ หัวใจของเรา อวิชชาคือความไม่รู้ ไม่รู้อะไร ไม่รู้ในตัวของมันเองไง ไม่รู้ในตัวของมันเองมันก็คิดว่าเรายึดมั่นถือมั่นในความรู้สึกนึกคิดของเรา นึกว่าถูกต้องดีงามแล้วไง
ความถูกต้องดีงามนั้นมันเจือไปด้วยสมุทัย ตัณหาความทะยานอยากคือสมุทัย คือกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเจือหัวใจเรามา ถ้ามันเจือหัวใจเรามา เราคิดสิ่งใดไปแล้ว ต้นไม้พิษ เวลาออกผล ออกผลเป็นพิษ
ถ้าหัวใจเรามันมีอวิชชา คิดสิ่งใดแล้วอย่าเพิ่งยึดมั่นถือมั่น ให้พิจารณาดูก่อน ให้พิจารณาดูก่อนว่าสิ่งนั้นควรหรือไม่ควร ถ้าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควรไง เพราะสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร มันเป็นผลประโยชน์
ผลประโยชน์ เวลากฎหมายระหว่างประเทศ เวลาแลกสินค้ากัน มันเป็นผลประโยชน์ทั้งนั้นน่ะ มันมีคนหนึ่งได้ คนหนึ่งเสีย แล้วคนได้มากหรือคนได้น้อย ถ้าคนมากกว่าได้ มันก็เป็นประโยชน์
เราควรจะพิจารณา การพิจารณาของเรา ถ้าการพิจารณา เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นความเห็นของเรามันยังไม่ถูกต้องดีงามของเรา ถ้ามันไม่ถูกต้องดีงามของเรา สิ่งที่จะแก้ได้คือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ธรรมะ ธรรมะ ธรรมะ สัจธรรมๆ สัจธรรมมันเหนือโลก ธรรมะเหนือโลก ธรรมเหนือโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมเพราะอะไร กราบธรรมเพราะใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
แต่จิตใจของเรา เรามีอวิชชาของเรา อวิชชาคือความไม่รู้ ความไม่รู้ อวิชชา มันแกนของหัวใจไง ถ้าแกนของหัวใจมันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามันเหนือธรรมชาติๆ เหนือโลกๆ เหนือโลกเพราะมันไม่หมุนเวียนในวัฏฏะ แต่ของเรามันหมุนร้อยเปอร์เซ็นต์
ไอ้คนที่ปฏิเสธ ไม่มี ไม่เป็น นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี บุญบาปไม่มี
เออ! ไม่มี ไม่มีหรอก ไม่มี เดี๋ยวมึงก็รู้ มีไม่มี มันมีในหัวใจนั้นน่ะ หัวใจนั้นเพราะอะไร เพราะใครไปแก้ไขตรงนั้นไม่ได้ไง
นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแค่เปิดทางเท่านั้น แค่เปิดทางให้เรามีสติมีปัญญา ถ้าเปิดทางมีสติปัญญา ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว พระพุทธศาสนาสอนอย่างนั้น ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
โลก โลกมันก็บิดเบือน “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป”
ทำดีมันไม่ได้ดีตรงไหนล่ะ ทำดีมันมีความปลอดโปร่ง มีความสบายใจ มีความองอาจกล้าหาญ ผู้ที่มีศีลจะเข้าสังคมไหนก็ได้ ถ้ามีศีล มีความสัตย์ มีความสมบูรณ์ของเรา สังคมใดเข้าได้หมดน่ะ ทุศีลมันไม่กล้าเข้านะ หลบๆ ซ่อนๆ
เวลาเมื่อก่อนเราไป เราไปงานของครูบาอาจารย์
“ไอ้หงบมันมามันไม่กล้า หลบๆ ซ่อนๆ หลบๆ ซ่อนๆ”
กูไม่เอาหน้า กูไม่ต้องการยืด หัวใจกูไม่ต้องการสิ่งนั้น
นี่ไง บอกว่า ถ้าผู้ที่มีศีลไม่กล้าเข้าสังคม
สังคมไหนไม่กล้าเข้า เขาไม่เข้าต่างหาก เขาไม่ต้องการ นี่เพราะมันเหนือโลก สิ่งที่เหนือโลก เหนือโลกเหนือสงสารๆ ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเยียวยาตรงนี้ ถ้ามาเยียวยาตรงนี้ เห็นไหม
เวลาคนเกิดนะ คนที่มีอำนาจวาสนา เวลาเขาให้พรกันนะ ขอให้สุขภาพแข็งแรง ขอให้สุขภาพจิตที่ดี
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระนะ “เธอพอทนอยู่ได้ไหม เธอพอทนอยู่ได้ไหม ไอ้ความทุกข์ในใจ พอทนอยู่ได้ไหม”
สบาย พระอรหันต์นะ สบาย ไอ้พระเล็กพระน้อยมันก็บอก พอทนได้ครับ พอทนได้ครับ นี่ไง มันเป็นสัจจะเป็นความจริงของมันไง
ถ้าเป็นสัจจะเป็นความจริง เห็นไหม สุขภาพกาย สุขภาพจิต เวลาสุขภาพกายเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมาเราก็ไปหาหมอ แล้วสุขภาพกายตอนนี้เขารู้เลยว่าการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพมันไปลดต้นทุนค่ารักษาพยาบาลอีกมหาศาลเลย
ไอ้แค่เรารักษาร่างกายของเรามันมีต้นทุนสูง แค่เราเดินได้ ยืนได้ กินได้นี่ ลองไปนอนติดเตียงดูสิ หิวจนตายก็ไม่มีใครมามองหน้า แล้วมันก็จะหิวอยู่นั่นแหละ แต่ถ้ามันเดินได้ๆ นะ มันไปหากินได้ มันลุกได้ นี่สุขภาพกาย
สุขภาพจิต สุขภาพจิตมันก็เป็นมาอย่างนี้ โรคซึมเศร้า จิตเภท มันมาจากไหน มันเพิ่งมาวันนี้หรือ มันมีมาโดยดั้งเดิม มันเป็นวิบากกรรมของสัตว์โลก มันมีของมันอยู่ตลอดไป เพียงแต่ว่าทางการแพทย์เขาเจริญขึ้น พอทางการแพทย์เขาเจริญขึ้น เขามีเหตุมีผล เขายอมรับ แล้วเขาค้นคว้าหายามากด เวลากินยา กินยาควบคุมประสาท ควบคุมการแสดงออก นี่ควบคุมๆ เท่านั้นน่ะ จิตเภท จิตแพทย์มันก็แค่ให้คนกลับมาเป็นปกติ มันให้คนเป็นอริยบุคคลมันเป็นไปไม่ได้หรอก
คนที่ควบคุมตัวเองไม่ได้เขาก็หายาควบคุม ควบคุมตัวเองไม่ได้ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาทำความสงบใจเข้ามา สมาธิไม่มีลืมตาหลับตาหรอก
เป็นสมาธิมันสว่างไสว พุทโธสว่างไสว พุทโธผ่องใส มันมหัศจรรย์น่ะ
ไอ้ที่ว่าทำสมาธิๆๆ
คนมีเงินมันตื่นเต้นกับเงินของมันนะ ใครมีทรัพย์ เห็นทรัพย์ โอ้โฮ! มหาศาล ถ้าจิตเป็นสมาธินะ
ไอ้นั่นมันแค่สร้างอารมณ์ว่างๆ เรามีความกดดันความรู้สึกนึกคิดใช่ไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดทางให้ เปิดทางให้หมายความว่าเราตรึกในธรรมๆ ไง สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา อารมณ์ความรู้สึกเกิดขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ต้องดับไปเป็นธรรมดา เรามีสติสัมปชัญญะยับยั้งไว้ นี่ไง มันก็แค่นี้
“ว่างๆ ว่างๆ”
ว่างๆ อะไรของมึง
แต่หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธนะ พอจิตสงบระงับเข้ามา จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส ผ่องใสมันก็รักษาตัวมันเองไม่ได้ ธรรมชาติของมันไง
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องแปรปรวนเป็นธรรมดา
จิตใจของเรา เราโดนกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำอยู่นี่ เจ็บช้ำน้ำใจอยู่นี่เป็นธรรมดา เป็นธรรมดา แต่กิเลสมันยุมันแหย่ว่า เราโดนสังคมรังแก เราโดนคนอื่นเอารัดเอาเปรียบ แล้วคนที่เขาอยู่ข้างๆ เรามันก็เป็นเหมือนเรา ทำไมเขาไม่คิดเหมือนเรา
นี่ไง เวลาสิ่งที่ต้นไม้พิษ เวลามันคิดสิ่งใดขึ้นมาแล้วมันให้ผลพิษไง แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาเปิด มาถากมาถางไง
เราเปรียบเราเทียบธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาใช้ปัญญาไปแล้ว นี่ไง มันก็เห็นตามข้อเท็จจริงไง มันไม่ใช่อย่างที่เราคิด มันไม่เป็นอย่างนี้ แต่ต้นไม้พิษมันให้ผลเป็นพิษ มันมีแต่ความทุกข์ความยาก มีแต่ความยึดมั่นถือมั่นของมันไง แต่สุดท้ายแล้วธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันแยกมันแยะ มันปล่อยมันวางไปนะ มันปล่อยมันวาง ถ้ามันปล่อยวางเป็นสัมมาทิฏฐินะ ปัญญาอบรมสมาธินะ โอ้โฮ!
ความคิดเมื่อกี้มันเกิดขึ้นนะ มันให้ผลเจ็บช้ำน้ำใจมากเลย เวลามันปล่อยแล้ว เฮ้ย! เฮ้ย! ว่างน่ะ ปล่อยวางสบายๆ นี่ไง ถ้าสุขภาพจิตที่มันดีขึ้น ถ้ามันทำดีขึ้นๆ มันมีสติมีปัญญาไง ถ้ามีสติปัญญานี้คืออะไร มันเป็นธรรมโอสถ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เกิดมาจากไหน เกิดมาจากคำบริกรรม เกิดมาจากสติปัญญาที่มันมีอำนาจวาสนา
คำว่า “มีอำนาจวาสนา” มันสำนึกได้ สำนึกได้ ย้อนได้ ทวนกระแสกลับได้ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัญญาในธรรมะมันทวนกระแสกลับเข้าไปในหัวใจของเราไง
แต่ปัญญาทางโลกมันส่งออกมาจากพลังงานไง ส่งออกไปที่สมองไง สมองเป็นสัญชาตญาณไง ความรู้สึกนึกคิดไง บังคับใช้ร่างกายนี้ให้เคลื่อนไหวไปตามสมองมันสั่งไง ตามประสาทนั่นไง นี่ไง ปัญญาของโลกมันปัญญาส่งออกไง ปัญญาเกิดที่พลังงานเกิดโลกทัศน์ไง นี่มันเลยเป็นโลกียะไง
ไอ้ที่ว่าโลกียะๆ โลกุตตระ
โลกุตตระที่ไหน เอ็งรู้จักโลกุตตระหรือ เอ็งรู้จักที่มาของจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะหรือ เอ็งรู้ไหมว่าเอ็งเกิดมาเอ็งมาจากไหน
อ้าว! รู้สิ
รู้นั้นน่ะมันเป็นอวิชชา รู้ด้วยความจอมปลอม รู้ด้วยต้นไม้พิษ ไม่มีจริงหรอก ถ้าเป็นจริงนะ สิ่งที่เป็นจริง สัจธรรมมันเป็นจริงอยู่แล้ว สัจจะ อริยสัจ อัตตสมบัติในใจของตน ใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว มันฝังใจมานะ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย พระอรหันต์ต้องแสนกัป คำว่า “แสนกัป” มันพัฒนาหัวใจจนมั่นคง พัฒนาจนหัวใจไม่เหลวไหล
ดูเจ้าชายสิทธัตถะนะ คนเราออกประพฤติปฏิบัติมันทุกข์ยากขนาดนั้นน่ะ ไปศึกษากับอุทกดาบส อาฬารดาบส “ได้สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ เหมือนเรา ให้เป็นอาจารย์สั่งสอนได้” ท่านไม่เอา
นี่ไง คำว่า “ไม่เอา” เพราะว่าพระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เห็นว่านี่เป็นฌานโลกีย์ สมาบัติ ๖ สมาบัติ ๘ นี่ไง ทำอภิญญาไง เรื่องโลกๆ ไง ถ้าอย่างเป็นพวกเรานะ เราแสวงหาอย่างนี้แล้วมีอาจารย์มายกย่อง โอ้โฮ! มันลอยไปนู่น พระพุทธศาสนาเลยไม่มีไง
ถ้าเจ้าชายสิทธัตถะไม่มีอำนาจวาสนา เชื่อเขาไปนะ จบนะ ศาสนาพุทธไม่เกิด แต่เจ้าชายสิทธัตถะปฏิเสธ ปฏิเสธคำยกย่องสรรเสริญของอุทกดาบส อาฬารดาบสหมดเลย ไม่เอา ไม่ใช่ ไม่สน แล้วกลับมาไง
พอทำทุกรกิริยามา ๖ ปี ทุกข์ขนาดไหน ทำขนาดไหน ทำมาเต็มที่หมดแล้ว เวลามีอำนาจวาสนาขึ้นมาน่ะ ระลึกได้ นี่วาสนาของคน สิ่งที่สร้างมา คนที่มีอำนาจวาสนาระลึกได้ตั้งแต่โคนต้นหว้าที่พระเจ้าสุทโธทนะพาออกไปแรกนาขวัญ ระลึกถึงตรงนั้นได้
ไปค้นคว้ามารอบจักรวาล หามาทั่ว มันระลึกได้ตอนที่เป็นราชกุมาร นี่เพราะอำนาจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง
เวลาเกิด มหามายา เกิดมาแล้วที่ลุมพินีวัน เสียชีวิตไป เพราะท้องนี้ท้องได้พระโพธิสัตว์เท่านั้น เวลาจะมาตรัสรู้นะ ก็มาระลึกถึงราชกุมารอยู่โคนต้นหว้านั้น เวลาบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ ก็เพราะเป็นบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เองโดยชอบ พวกมารยาสาไถยไม่ได้หรอก
นี่ไง ถ้ามีอำนาจวาสนานะ มันมีจุดยืนของมัน คนนู้นมายกมาย่อง โลกธรรม ๘ เขาให้ผลประโยชน์ก็ไม่เอา เขาสรรเสริญขนาดไหนก็ไม่สน ทั้งๆ ที่แสวงหาอยู่นะ กำลังแสวงหาความรู้สึก คือว่าคนแสวงหาคือคนตกงาน คือคนไม่มีงานทำ แล้วเขาให้งานแล้วเขายกย่องด้วย ให้เป็นหัวหน้าด้วย เป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วย ไม่เอา
คนไม่มีงานไง คนยังไม่มีคุณธรรมในหัวใจมันว้าเหว่นะ คนที่มีกิเลสมันเผาลนใจนะ แล้วเราก็ต้องการให้มันหลุดพ้นไป แต่มันหลุดพ้นก็ไม่มี ไปข้างหน้าก็ไม่ได้ ถอยหลังก็ไม่ได้ ปัจจุบันนี้ก็ยังไม่รู้เท่า แล้วมีคนมาสรรเสริญๆ ไม่เอาๆ นี่ด้วยอำนาจวาสนาไง
พวกเราก็เหมือนกัน เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมแล้ว กาลามสูตร อย่าให้เชื่อ อย่าเชื่อคนง่ายๆ อย่าเห็นสิ่งใดแล้วจะเชื่อเลย ให้ทบทวนตรวจสอบก่อน แต่ก็ตรวจสอบด้วยวุฒิภาวะอย่างนี้ วุฒิภาวะโลกๆ ไง พอเห็นอะไรที่มันแปลกประหลาดก็ตื่นไปกับเขาไง นี่วุฒิภาวะที่อ่อนแอไง นี่ไง เพราะเราไม่มีอำนาจวาสนา เราถึงพยายามสร้างสมตรงนี้ไง
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เพราะทำดีๆ มันภูมิใจ ภูมิใจขึ้นมาแล้ว มันจะขาดแคลน เราจะทำคุณงามความดีเป็นนามธรรม แล้วมันจะขาดแคลนกับวัตถุธาตุ ขาดแคลนกับยศถาบรรดาศักดิ์ ช่างมันเถอะ เราทำคุณงามความดี เราภูมิใจของเรา ภูมิใจของเรา
ถ้าเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามันตอบสนองมาด้วยธรรมาภิบาล ด้วยความถูกต้องดีงามขึ้นมา เราก็พอใจกับผลที่ได้นี้ ถ้ามันจะพลัดพรากไปมันก็เป็นเรื่องเวรเรื่องกรรมของสัตว์ทั้งนั้น เราไม่ไปตื่นเต้นไปกับมัน เห็นไหม
นี่ทำดีต่อเนื่องๆ แล้วสบายใจ ไม่ต้องไปนั่งทับขี้ไว้ กลัวแต่เขาจะมารื้อมาค้น ไอ้ที่พูดไปแล้วน่ะเจ้านาย เดี๋ยวมันมารัดคอ เจ้านายเป็นคำพูดไง
ถ้ามันเป็นจริงๆ มันเป็นจริงอย่างนี้ไง นี่พูดถึง ทำดีต้องได้ดี ทำชั่วต้องได้ชั่วแน่นอน
แต่ว่าทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป
เอ็งว่าเขาทำชั่วๆ เอ็งรู้หรือว่าเขาทำอะไรมา คนเรามันทำดีทำชั่วมานะ ตั้งแต่ผลในปัจจุบันนี้ ถ้าผลในปัจจุบันนี้มันเป็นพันธุกรรมของจิตไง เธอย้ำคิดย้ำทำจนเป็นจริตจนเป็นนิสัยของเธอ ทำซ้ำทำซากมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไปเลยนะ
แต่หลวงตาท่านสอนไว้ อย่าให้มีหนึ่ง ทำสิ่งใดถ้ามันไม่มีคุณงามความดี อย่า อย่า อย่า ถ้ามีหนึ่งมันก็จะมีสอง พอมีสองมันย้ำคิดย้ำทำแล้ว เดี๋ยวก็เป็นจริตเป็นนิสัย แล้วมันก็เป็นสันดาน
แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเรานะ ให้จิตใจเป็นคุณงามความดีนะ ไอ้ข้างนอกมันจะอัตคัดขาดแคลนนะ แต่เราภูมิในใจตัวเราเอง ความลับไม่มีในโลก เราเป็นคนทำ เราทำมาทั้งสิ้น แล้วเวลามันทำมาทั้งสิ้น มันเป็นความจริงๆ ขึ้นมาในหัวใจ ธรรมโอสถ ถ้าธรรมโอสถของเราขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกไง
นี่ไง ถึงบอกว่า ถ้าคนที่เขาเข้มข้นแล้วนะ เวลาเขาให้พรกันน่ะ ขอให้สุขภาพกายแข็งแรง ขอให้สุขภาพจิตมีวุฒิภาวะ
เวลาคนเขาหลอกกันนะ เขาพยายาม ไพ่สามใบ ลูกเต๋า โอนบริษัท มันก็หลอกให้มึงเชื่อเท่านั้นน่ะ มันต้องหลอกให้มึงเชื่อก่อน พอเชื่อแล้วก็โอนให้เขา โอนให้เขา แล้วถ้าเราไม่เชื่อล่ะ
ถ้าเราไม่เชื่อ มันอยู่ที่วุฒิภาวะนะ เราพยายามสร้างสมบุญญาธิการของเราให้เรามีสติมีปัญญาของเรา สุขภาพกายที่ดี สุขภาพจิตที่ดี แล้วถ้ามีสุขภาพจิตที่ดีแล้วจะมานั่งภาวนานะ จะมานั่งภาวนา
สุขภาพจิตที่ดีแล้ว ไม่ใช่ดีแล้วหรือ
ยัง เป็นเรื่องโลกๆ เป็นเรื่องของมนุษย์ เป็นเรื่องของวัฏฏะ แต่ถ้าเป็นจริงนะ โลกุตตรธรรมนะ ต้องทำความสงบของใจเข้ามา ใจสงบเข้ามาคือฐีติจิต จิตเดิมแท้ จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจะไปแก้กันต้องไปแก้กันที่นั่น ไปแก้กันที่ตัวจิตนั้น เพราะตัวจิตนั้นตัวมืดบอด มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
พอมาเกิดเป็นเราๆ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าเป็นบุญกุศล การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์ เพราะมนุษย์มีสมอง มนุษย์มีอำนาจวาสนา มนุษย์ทำคุณงามความดี มนุษย์สร้างคุณงามความดีได้เป็นสมบัติของโลกมหาศาล
มนุษย์ถ้ามันเป็นชั่ว มันทำลายล้าง มันสร้างสงครามโลก มันแบ่งแยกดินแดน มันทำลายทุกอย่าง เห็นไหม ถ้ามันชั่ว
มนุษย์ทำดีได้ดีมหาศาล ทำชั่วมันยุมันแหย่ มันทำลายคนรักกัน คนเป็นเพื่อสนิทกัน คนที่เชื่อถือกัน มันแบ่งแยกได้หมดน่ะ มันยุมันแหย่จนมันแตกมันแยกนะ เวลาคนมันชั่ว
แต่ถ้าเราทำคุณงามความดีของเราๆ แม้แต่การเกิดเป็นมนุษย์เป็นอริยทรัพย์แล้ว แล้วเวลาถ้าเรามีอำนาจวาสนานะ สิ่งที่เราทำเป็นสมบัติโลกทั้งสิ้น เพราะเราเกิดมากับโลก เกิดจากพ่อจากแม่ ถ้าทำคุณงามความดีก็ทำคุณงามความดีไว้เพื่อชีวิตนี้ เพื่อจริตนิสัยนี้
แล้วถ้ามันจะภาวนานะ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จิตสงบระงับแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เกิดปัญญาขึ้นมาจะเห็นเลยล่ะว่าธรรมจักรมันเป็นอย่างไร
โลกุตตระ โลกุตตระที่โม้กันน่ะ โลกุตตระๆ โลกุตตระมึงเขียนเอาเอง โลกุตตระมึงติดป้าย
ถ้าเป็นความจริงนะ ถ้าโลกุตตระแล้วมันยิ่งเงียบใหญ่ เพราะเราเป็นปุถุชนนะ ปุถุชนเราต้องการความเสมอภาค เราจะรักษาสิทธิ์ แต่คนมันมีเวรมีกรรมไง เวลากรรมมันให้ผลนะ เราอุบัติเหตุบนถนน อุบัติเหตุนั่นน่ะมันเป็นกรรมของสัตว์ทั้งนั้น
แต่ถ้าทางโลกว่าเป็นความประมาท เครื่องยนต์มันไม่ดี
ใช่ มันก็ไม่ดีทั้งนั้นน่ะ แต่มันต้องประกอบไปด้วยจิตดวงนั้น ประกอบไปด้วยคนคนนั้น มันถึงให้ผลไง นี่เวลากรรมให้ผลๆ ไง
แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็สอนไว้ไง “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ความประมาท ความเลินเล่อทำให้เราเจออุบัติเหตุ ความประมาท ความเลินเล่อทำให้เราเชื่อคนง่าย ความประมาท ความเลินเล่อทำให้เราเสียหาย
เราพยายามตั้งสติไว้ ตั้งสติไว้ฝึกหัดตัวเรานี่แหละ เราฝึกหัดแล้วมีคุณสมบัติ มีคุณงามความดีในใจ แล้วถ้าใจมันดีงามแล้วนะ คนดี ธาตุดีมันเข้ากับธาตุดี น้ำเข้ากับน้ำ น้ำมันเข้ากับน้ำมัน ความดีเข้ากับความดี ความชั่วเข้ากับความชั่ว ความชั่วกับความดีมันคบกันแล้วเดี๋ยวมันมีปัญหาไปทั้งสิ้น มันแยกไปหมดน่ะ
ฉะนั้น เขาบอก จะดูคนให้ดูเพื่อนเขา ดูสังคมของเขา สังคมเขาเป็นอย่างไร
แต่สังคมของเรา สังคมของเราก็มีแต่ต้นไม้ มีแต่ความสงบสงัด มีแต่ความวิเวกเพื่อค้นคว้าหาใจของตน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วให้เกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมา มันจะทำให้หัวใจนี้เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก มันจะเห็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กลางหัวใจนั้น
หลวงตาท่านบอก พุทธ ธรรม สงฆ์รวมหนึ่งเป็นที่ใจ แล้วใจนั้นจะพ้นจากวัฏฏะเป็นวิวัฏฏะ เอวัง