เทศน์เช้า วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ฟังธรรมะ ฟังธรรมๆ นะ เราพยายามขวนขวายทำอาชีพเพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง การเลี้ยงปากเลี้ยงท้องก็เลี้ยงชีวิตของเราไง ชีวิตนี้มีคุณค่าที่สุด เพราะว่าชีวิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันตัดแต่งพันธุกรรมของมัน มันตัดแต่งพันธุกรรมของมัน จริตนิสัยของคนถึงไม่เหมือนกันไง เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ไง ฟังธรรมให้จิตใจเราฉลาดขึ้น
เราเกิดมา เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดเป็นมนุษย์นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นคุณค่าของมนุษย์มาก เพราะว่าในบรรดาสัตว์สองเท้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด คำว่า “ประเสริฐๆ” ไง ประเสริฐคือทำคุณงามความดีไง
แต่ถ้ามันเป็นเปรตเป็นผีมันก็ทำลายไง การทำลาย การทำลายเพื่อกิเลสตัณหาความทะยานอยาก กิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตนมันทำให้เกิด อวิชชาพาเกิดๆ อวิชชาคือความไม่รู้พาเกิด
เวลาเกิดขึ้นมาๆ เกิดขึ้นมาจากพันธุกรรมของจิตๆ พอพันธุกรรมของจิตสร้างบุญกุศลได้มากได้น้อยแค่ไหน การเกิดเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์เท่ากัน แต่จริตนิสัยของคนไม่เหมือนกัน ความรู้ความเห็นของคนไม่เหมือนกัน มีอำนาจวาสนาทำสิ่งใดประสบความสำเร็จๆ ไง สิ่งนั้นเป็นเหยื่อล่อ ล่อให้เรายึดมั่นถือมั่นอยู่กับสิ่งนั้นไง แต่สิ่งนั้นเราเป็นบุญกุศลของเรา เราทำสิ่งนั้นมาแล้ว สิ่งนั้นมันก็เป็นคุณค่าการบำรุงรักษาในการดำรงชีวิต
แต่ถ้ามีธรรมๆ มีธรรมในหัวใจไง ถ้ามีธรรมในหัวใจ เห็นไหม เวลาไปวัดไปวาขึ้นมา ในวัดในวามันมีระดับของมันแตกต่างหลากหลาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์
เวลาหลวงตาท่านพูดไง ธรรมะนี้ พระพุทธศาสนานี้เหมือนห้างสรรพสินค้า ในห้างสรรพสินค้านี้คนเกลื่อนหลากหลายมาก สินค้าหลากหลายมาก คนที่มีสติปัญญามากน้อยแค่ไหนจะได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนไง
นี่ก็เหมือนกัน ไปวัดไปวาไง เราไปวัดไปวาเอาง่ายๆ ไปวัดก็ไปซื้อเครื่องรางของขลังแขวนคอ จบแล้ว ซื้อพระมาแขวนคอ จ่ายตังค์แล้วก็ได้พระพุทธรูปมา ก็เท่านั้น แต่เวลาเราไปวัดไปวา วัดป่าๆ วัดป่าเขามีข้อวัตรปฏิบัติของเขา เวลาเขามีวัตรปฏิบัติของเขา ไปวัดใจของตน ไปวัดใจของตน เห็นสิ่งที่ดีงามหรือไม่ ถ้าเห็นสิ่งที่ดีงาม เห็นไหม
เวลาหลวงตาท่านพูดไง เวลาท่านจะฉันอาหารนะ ท่านบอกให้โยมไปเที่ยววัดๆ ไปสำรวจวัด แล้วมาถึงเห็นอะไรบ้าง เห็นต้นไม้ เห็นกระรอก ไม่เห็นข้อวัตร ไม่เห็นทางจงกรม ไม่เห็นคนทำคุณงามความดี
ไปวัดๆ เขาก็ไปดูที่ข้อวัตรปฏิบัตินั้น เขาไม่ดูต้นไม้ภูเขาเลากาหรอก ต้นไม้ภูเขาเลากาที่ไหนก็มี ไปดูสวนหย่อมสิ ดีกว่าด้วย ไปดูสวนญี่ปุ่น สวยกว่ามึงอีก แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ไม่เห็นมันได้อะไรขึ้นมาเลย เห็นไหม
ไปวัดๆ เขาให้ไปดูวัตร ไปดูวัตรนะ หนึ่ง เห็นความสงบระงับของภิกษุ ที่อยู่ของผู้ทรงศีล ผู้ทรงศีล เห็นไหม
เราปากกัดตีนถีบทั้งวันทั้งคืนเลย หาเงินหาทอง อาบเหงื่อต่างน้ำ เฮ้ย! พระอยู่โคนไม้มีความสุขได้อย่างไรวะ เฮ้ย! พระเดินจงกรมเดินไปเดินมานะ เฮ้ย! พระฉันอาหารมื้อเดียวนะ เฮ้ย! พระอดอาหารอีกต่างหาก เอาความสุขมาจากไหน เราหาเกือบเป็นเกือบตายสะสมไว้เต็มบ้านเลย เอาไว้เพื่อบำรุงความสุขของเรา เราไม่มีความสุขเลย แล้วพวกนี้ทำไมเขามีความสุขล่ะ เขาเดินไปเดินมา ยังอดนอนผ่อนอาหารนะ นี่ไปวัด ไปวัดเขาไปดูพฤติกรรม ไปดูคนที่ขวนขวายหาสัจจะความจริง
นี่เหมือนกัน ไปวัดไปวาก็ไปเช่าพระ ตะกรุดน่ะ นะหน้าทองนะ แขวนคอ จบ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนจะศึกษา ศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เขามีของเขามาอยู่แล้ว ความเชื่อมันมีมาตลอด ในพระพุทธศาสนาที่มันละเอียดลึกซึ้ง ละเอียดลึกซึ้งที่นี่ไง ละเอียดลึกซึ้งที่ว่าเรารู้เท่าทันหัวใจของเราไง คนที่จะรู้เท่าทันหัวใจของตน เห็นไหม
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนุปุพพิกถา ให้เขาการเสียสละทาน การเสียสละทาน ให้เขาเสียสละ คนที่รู้จักเสียสละ คนที่เห็นคนเท่ากับคน คนที่ไม่เห็นตนเองยิ่งใหญ่ นี่มันฟังนะ
คนเล็กคนน้อย เขาจะมีคุณงามความดีก็ได้ คนเล็กคนน้อยเขาจะมีปัญญาก็ได้ คนยิ่งใหญ่เขาจะมีปัญญาก็ได้ ปัญญามันอยู่ในจิต ทางวิทยาศาสตร์ สมอง เขาใช้สมอง สมองคือสมอง สมองมันเกิดชาตินี้ ตายชาตินี้นะ มันไม่ไปชาติต่อไปหรอก แต่จิตมันไป ความโง่ความฉลาดมันผ่านจิตนั้นไป ความโง่ความฉลาดมันทำให้จิตนั้น พันธุกรรมของจิตนั้นตัดแต่งไปเรื่อยๆ พระโพธิสัตว์ๆ แต่สมองมันตายที่นี่
สมองไอน์สไตน์เขาดองไว้เลย เพราะสมองมันใหญ่ที่สุดไง ไอน์สไตน์ก็ตายไปแล้ว สิ่งที่วิชาการที่ไอน์สไตน์ค้นคว้าไว้เป็นสมบัติของโลก แต่ไอน์สไตน์ได้สร้างคุณงามความดีไว้กับโลก ให้โลกได้ทางวิชาการ ให้เป็นประโยชน์กับสังคมทั่วโลก นั่นเขาทำบุญของเขา นั่นบุญของเขา บุญของเขาอยู่ตรงนั้นไง ตรงที่วิชาการของเขาทำให้โลกเปิดตา ทำให้โลกนี้รู้จักมีทฤษฎีในการบำรุงรักษา นั่นคือบุญกุศลของเขา แต่สมองมันก็ธาตุ ๔ มันก็แช่อยู่นั่นน่ะ สมอง แต่ความจริงๆ มันเกิดจริตนิสัย
จริตนิสัยของคน คนที่มีบุญกุศลนะ เขาเกิดมาเขาจะเสียสละของเขา เขาทำคุณงามความดีของเขา แล้วใครจะติฉินนินทานั่นเรื่องของเขา สิ่งที่กระทำๆ ทำเพื่อใจดวงนั้นไง แล้วถ้าใจดวงนั้นมันมีอำนาจวาสนานะ เขาทำบุญ เขาปิดทองหลังพระ เขาปิดทองหลังพระทั้งนั้นน่ะ คนที่ฉลาดเขาปิดทองหลังพระ
เพราะเอ็งไปปิดทองหน้าพระนะ เอ็งแทรกไม่ได้หรอก เขาเบียดเอ็งกระเด็นเลยล่ะ หน้าพระ โอ๋ย! คนแน่นเลย หลังพระไม่มีคนนะ ก้นพระยิ่งไม่มีใครเลย แต่หน้าพระนี่คนแน่นไปหมดเลยนะ เอ็งไปเบียดเขาทำไม
เบียดกับเขาก็จะเอื้อมไปปิดทองไง ก็แหม! จะมาทำบุญ ไม่รู้จักหรือ จะทำบุญๆ น่ะ
แต่ไอ้คนที่ปิดทองหลังพระเขาอ้อมไปนะ เขาแปะเสร็จแล้ว เขาไปแล้ว บุญกุศลเต็มในหัวใจของเขา ไอ้ปิดทองก้นพระๆ เขายิ่งสบายใจสบายใจเลย เห็นไหม ถ้าคนที่ฉลาด
สิ่งที่ฉลาดๆ เขาทำบุญทิ้งเหวๆ มันเป็นประโยชน์กับเขา ถ้าเป็นประโยชน์กับเขานะ เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านสอนนะ ห้ามพูด
ห้ามพูดเพราะอะไร เพราะเดินจงกรมแล้วนะ ถ้าได้ยินข่าวนะ โอ้โฮ! คนนั้นภาวนาเก่งนะ หัวบันไดไม่แห้งเลย มึงไม่มีโอกาสภาวนาแล้วแหละ
เราอยู่กับหลวงตามานะ เราโดนยำแล้วยำอีกบนศาลา เช้า กลางวัน เย็นน่ะ โดนด่าวันหนึ่ง ๓ รอบ จนพระด้วยกันมาถาม “ไอ้หงบ มึงทำอะไรผิดวะ” นี่คนที่ไม่รู้ คนที่ไม่รู้นะ “เฮ้ย! มึงทำอะไรผิดวะ”
นี่ไง แต่ในหัวใจของเรานะ ท่านแยกเราออกไปเลย แล้วเวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา ใครจะมายุ่งกุฏิเราไม่ได้ ใครจะมาระรานเราไม่ได้ ใครมานี่ชี้ทางออกไปเลย นู่น
ถ้ามาสู่วัดป่าบ้านตาด หลวงตาพระมหาบัวท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านเป็นผู้รับผิดชอบ เอ็งมีอะไรไปนู่น ชี้ไปที่กุฏิหลวงตาทันที เพราะอะไร เพราะกูจะเอาเวลากูเดินจงกรม กูจะนั่งสมาธิภาวนาของกู
แล้วก็ด่าเช้า กลางวัน เย็นนะ จนพระถาม มีพระถามหลายองค์ “เฮ้ย! มึงทำอะไรผิดวะ” มีคนโง่ขนาดนั้นนะ โง่ถามเลยนะ “เฮ้ย! มึงทำอะไรผิดวะ”
แต่ในใจของเรานะ เวลาหลวงตาท่านสอนไง เอ็งจะไปสู้เสือมือเปล่าหรือ
ท่านคอยเตือนให้มีสติ ท่านคอยเตือนให้มีแง่มุมที่จะได้พลิกแพลงสู้กับมัน เวลามันกดขี่อยู่บนหัวมึง มึงรู้ไม่เท่าทันมันหรอก ท่านจะคอยให้อุบายนะ พอขึ้นศาลาไปก็เปรี้ยงๆ เลย ไอ้พระมันถามว่า “เอ็งทำอะไรผิดวะ”
ภาวนาผิดไง ภาวนาแล้ว ถ้าชื่นชมท่านก็จะชื่นชม
เวลาไก่มันขันนะ ท่านชี้เลย มันขันทำไมน่ะ ไก่มันขันทำไมน่ะ ก็ไก่มันขันอวดตัวเมียไง ไก่มันขันๆ น่ะ ถ้าไก่มันขัน มึงรู้อะไร
เวลาไก่ขัน ท่านถามเราเลย มันขันทำไม ไก่มันขันทำไม
ตอนเช้าไง ตอนเช้าพอขัดศาลาแล้วพระจะหลบหลีกไปหมด เราจะอยู่แถวระเบียงเดินไปเดินมาน่ะ ท่านขึ้นมาท่านจะมีของแถมให้ทุกวัน แล้วแถมเสร็จแล้วไปนะ พอเดี๋ยวแจกอาหารนะ โดนแล้ว
นี่ไง สิ่งที่ว่าเขากันออกไป เขากันไว้ไง ไอ้คนทั้งวัดก็ โอ้โฮ! เฮ้ย! มึงมาวัดนี่มึงมารุกรานอาจารย์กูหรือ เฮ้ย! อาจารย์กูด่าแม่งวันหนึ่ง ๓ เวลา เฮ้ย! มึงมานี่มึงมาทำให้อาจารย์กูเดือดร้อนหรือ
แต่ความจริงท่านก็รื่นเริงนะ ไอ้เราก็ยิ้มย่องผ่องใส พอเข้าทางจงกรมก็ซัดกับมันเลย ซัดกับมันเลย ซัดกับมันตลอดเวลา
นี่เขากันไว้ เขาไม่ปิดทองหน้าพระหรอก “โอ๋ย! ไอ้พระองค์นี้มันภาวนาเก่งนะ” โอ้โฮ! หัวกระไดไม่แห้งเลย วันๆ ต้องเล่าให้มันฟัง เล่าสิบรอบไม่เหมือนกันสักรอบ เล่าวันนี้อย่างหนึ่ง ตอนกลางอย่างหนึ่ง ตอนท้ายๆ มันชักเบลอ มันเล่าผิดแล้ว
เห็นไหม เวลาวงกรรมฐานเขาไม่ให้คุยกัน เขาไม่ให้สุงสิงกัน เพราะการที่เราจะถนอมรักษาทรัพย์สมบัติในใจของเราเกือบเป็นเกือบตาย สติมันจะเท่าทันอารมณ์ขึ้นมา เราก็ต้องเข้มงวดกับมัน เพ่งจ้องขนาดนั้น เวลาทำสมาธิขึ้นมา กว่าจะได้สมาธิขึ้นมา แล้วการรักษาสมาธินั้นมันแสนยาก ครูที่ภาวนา ครูที่เคยกระทำ เขาจะรู้ รู้ว่ามันทุกข์ยากขนาดไหน
ถ้ามันไม่ทุกข์ยาก มันไม่อดนอนผ่อนอาหารเพื่อจะเอาชนะใจของมันให้ได้ แล้วใจของมันแค่ฟ้าแลบแปล๊บๆๆ คุยโม้อวดเขาไปทั่ว ไอ้เจ๊กตื่นไฟมันก็อยากฟัง “เฮ้ย! เป็นอย่างไรวะ เป็นอย่างไรวะ”
ฟ้าแลบมึงไม่เคยเห็นหรือ เวลาฝนตกฟ้าแลบน่ะ ฟ้าแลบแปล๊บๆๆ จิตมันยังไม่มีอะไรมั่นคงเลยนะ อวดโม้ไปก่อนแล้ว สุดท้ายแล้วเสื่อมหมด สุดท้ายแล้วก็ไปจ่อนั่งสุมหัวคุยกัน
คนภาวนาทีแรกทำกระฉับกระเฉงนะ โอ้โฮ! สุดยอด แยกตัวไปคนเดียวนะ สุดท้ายไปขอต่อแถวไปร่วมสุมหัวคุยกับเขา เวลาจิตมันเสื่อม
นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ท่านเป็นธรรมๆ ท่านทำของท่านเพื่อประโยชน์กับท่าน ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ท่านรักษาธรรมทายาทมา ท่านรักษาของท่าน รักษาเพื่อคุณงามความดีของท่าน
ไอ้เราไม่ทันกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของเราหรอก ปล่อยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรามันเหยียบย่ำทำลายอยู่อย่างนั้นน่ะ ไอ้คนที่จะส่งเสริมๆ ก็ส่งเสริมมีขอบเขตของเขา
นี่ไง มันเรื่องของเขาๆ ไม่ใช่เรื่องของเรา ใครจะทำดีทำชั่ว เรื่องของเขาว่ะ เราจะทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเรา แล้วทำคุณงามความดีของเราจะทำที่ไหน
เวลาหลวงตาท่านไปเยี่ยมตามวัดตามวานะ ท่านจะเข้าไปดูที่ทางจงกรม ทางจงกรมมึงไม่ต้องมาอวด ไม่ต้องบอกว่ากูนี่นักภาวนานะ เขาดูรอยเท้ามึงน่ะ รอยเท้าน่ะ ถ้ามันเดินจงกรม ทางจงกรมจะมันแว็บเลย ทางจงกรมจะเป็นร่องเลย
แต่ถ้ามันมีทางจงกรมนะ เอาไว้ประดับเกียรติ วัดกูมีทางจงกรมเยอะแยะเลย อู้ฮู! ถึงเวลาพระภาวนานะ แต่ไม่มีรอยเลย
เวลาหลวงตาท่านเทศน์ไง ทางจงกรม เสือไปหมอบอยู่ได้แล้วล่ะ
คำว่า “ทางจงกรม เสือจะไปหมอบอยู่ได้” แสดงว่าเอ็งทิ้งทางจงกรม มันจะมีเสือมาจากไหน ท่านเปรียบเทียบไง เสือมันอยู่ในป่าใช่ไหม ถ้าทางจงกรมเอ็งไม่ดูไม่แลมัน สกปรกโสโครก หญ้ามันขึ้นปกคลุมไปหมด แม้แต่เสือยังมาแอบซ่อนอยู่ในนั้นได้เลย แสดงว่าเอ็งละทิ้งไง
ถ้าเอ็งละทิ้งทางจงกรม ท่านจะเตือน ละทิ้งที่นั่งสมาธิ ท่านจะเตือน นี่เวลาอยู่กับครูบาอาจารย์ ถ้าครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม
สิ่งที่มีคุณค่าๆ คุณค่าที่เอ็งนั่งลงแล้วสงบระงับนั่นน่ะ คุณค่าที่เอ็งเดินจงกรม คุณค่าไม่ใช่เอ็งมาสอพลอ สอพลอมันเรื่องของกิเลสตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นคุณค่าๆ เขาส่งเสริมกันอย่างนี้ เขาส่งเสริมกันให้คนค้นคว้าค้นหามีการกระทำ แล้วเวลาสำคัญที่สุด
วันๆ หนึ่งไม่ให้มีเสียงก๊อกเสียงแก๊กเลย ในพรรษาห้ามเด็ดขาด จะมีก็มีเฉพาะตอนทำข้อวัตร เพราะคนเรามันอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ มันต้องเสื่อมโทรมเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเรื่องธรรมดาขึ้นมา เอ็งจะทำตอนนั้นนะ ให้ไปทำพร้อมกัน พร้อมกันเพราะอะไร
เพราะจิตใจคนที่สูงส่งนะ เวลาคนที่ภาวนาดีนะ เขาต้องการที่สงบสงัด เขาไม่ต้องการเสียงกระทบกระเทือน แล้วไอ้คนที่ทำก็คิดว่ามีความจำเป็น มีความจำเป็นก็จะรักษา รักษาสมบัติในพระพุทธศาสนา มันก็ต้องซ่อมบำรุง มันได้บุญอีกต่างหากนะ ช่วยกันดูแลซ่อมบำรุงวัดให้มันเจริญ มันได้บุญอีกต่างหากนะ แต่ต่างคนต่างถูกไง
ไอ้คนที่ต้องการความสงบระงับขึ้นมาก็เพื่อรักษาหัวใจของตน ไอ้คนที่จะรักษาบูชาก็คิดว่าทำวัตถุสิ่งนี้เพื่อประโยชน์กับศาสนา แล้วมันก็ซ่อมแซม เสียงมันกระทบกระเทือน
ไอ้คนที่ภาวนามันก็คิดน้อยใจ ทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีด้วยกัน เป็นพระกรรมฐานด้วยกัน เป็นพระกรรมฐานด้วยกันก็ต้องการความสงบสงัดเหมือนกัน แล้วทำไมมาทำเสียงกระทบกระเทือน มันก็คิดอุ่น กิเลสมันอุ่นนิวรณธรรมให้เกิดขึ้นในหัวใจ มันอุ่นเลยนะ มันจุดไฟเผานะ อุ่นขึ้นมาเลยนะ มันก็คิดขึ้นมา ไอ้ที่ว่าภาวนาดีๆ จิตสงบบ้าง ฟุ้งซ่านไปหมดเลย คิดโทษเขาไปหมดเลย แต่เพราะเอ็งขาดสติ
ไอ้นั่นของเขา ทำของเขาด้วยเจตนาของเขา ใครจะดีจะชั่วเรื่องของเขา เราจะประพฤติปฏิบัติว่ะ เราจะมีสติปัญญารักษาหัวใจของเรา ถ้าคนเขามีสติมีปัญญา เขาเป็นปราชญ์ เขาก็ต้องคิดถึงหัวอกของคนที่ปฏิบัติ
คนที่เขาปฏิบัติขึ้นมามันล้มลุกคลุกคลานมาขนาดไหน เขาเห็นหัวอกต่อกัน เขาเข้าใจต่อกัน เขาจะพยายามหลบเลี่ยง เขาจะไม่ทำความกระทบกระเทือนให้กับคนที่ภาวนา เวลามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน เขาจะบอก เขาจะขออนุญาตกันก่อนไง เวลาจะเข้าไปที่ไหนนะ นี่พูดถึงคนที่ปฏิบัติเขามีแววในการปฏิบัติ
เพราะว่าหัวใจนั้นรักษายากๆ คนที่รักษาหัวใจยาก แล้วหัวใจคนอื่นมันก็ยิ่งยากเหมือนกัน ถ้ายากเหมือนกันนะ เราเกื้อกูลต่อกัน เราทำคุณงามความดีต่อกัน เราส่งเสริมกัน อันนั้นเป็นประโยชน์ไง
อ้าว! ก็จะบำรุงซ่อมแซมวัตถุในพระพุทธศาสนา บุญกุศลไง
บุญกุศลมันก็เป็นบุญกุศล ถ้าถึงเวลาทำ ถ้ามันกระทบกระเทือนคนอื่นนะ บุญกุศลไง
หลวงตาท่านสอนนะ กินปลาเขากินเนื้อเว้ย เขาไม่กินก้างหรอก กินไก่เขาก็กินแต่เนื้อไก่ เขาไม่มีใครกินกระดูกไก่ แต่นี่ทำคุณงามความดีนะ ไก่ทั้งตัวเลย เคี้ยวหม่ำๆ เลย เวลาปลากินทั้งก้างเลย
นี่ไง เอ็งจะอ้างแต่ความดีๆ ของมึงน่ะ แล้วก้างน่ะ ก้างปลา กระดูกไก่ มันเป็นความดีหรือเปล่า ติดคอนะ ไก่ก็ดี ดีเฉพาะเนื้อนั่นน่ะ ปลาก็ดีเฉพาะเนื้อปลา ก้างปลามันไม่ดีหรอก แต่ปลาหรือไก่มันก็มีกระดูก ไม่มีกระดูกมันจะโตป็นไก่เป็นปลาขึ้นมาได้อย่างไร
ไอ้ความคิดของเรา ความดีๆ ของเราน่ะ ความดีที่มันเป็นก้าง ก้างที่ไปทิ่มคอเรา จะไปทิ่มคนนู้นคนนี้ การที่ทำความดีของเรา ความดีจะทิ่มแทงคนอื่นมันดีตรงไหน
ถ้าความดีของเรา ความดีต้องเป็นความดีของเรา อย่าให้ก้างไปทิ่มไปแทงของใคร คัดเลือกคัดแยกเอาสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ออก แล้วเราก็ทำคุณงามความดีของเราไปๆ ทำคุณงามความดีทิ้งเหว มันจะมีเหตุการณ์อย่างไรก็แล้วแต่
หลวงตาท่านพูด ในประวัติหลวงปู่มั่นเขียนแค่ ๗๕ เปอร์เซ็นต์เท่านั้นน่ะ สิ่งที่เวลาหลวงปู่มั่นสมบุกสมบันไป ทำคุณงามความดีขนาดนั้นนะ หลวงปู่เสาร์เวลาธุดงค์ไปมีคนถากถาง มีคนทำลายตลอดนะ
เวลาหลวงตาท่านบอกว่า ความไม่ดีไม่ต้องไปพูดถึงมัน เอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ นี่ไง เนื้อไก่กับกระดูกไก่ไง เอาแต่เนื้อไก่ เนื้อไก่ไว้เพื่อเป็นคติ เพื่อเป็นตัวอย่างให้กับอนุชนรุ่นหลังมันได้กระทำ ไอ้กระดูกใครๆ ก็ไม่ต้องการ ไอ้กระดูกไม่มีสิ่งใดทั้งสิ้น ไอ้คนที่กีดที่ขวาง ไอ้คนที่ทำลาย นั่นก็ทำลายโดยความเห็นของเขาตอนนั้น แต่ถ้าตอนนี้เขามีสติปัญญา เขารู้ถึงความผิดของเขา นั่นก็เป็นโทษของเขา
คนของเรา คนคนหนึ่งมีทั้งความดีและความชั่ว ไอ้คนนี้จะดีตลอดไปทั้งชีวิตมันก็หาได้ยาก ไอ้ว่าชั่วจนไม่มีจะดีเลยมันก็ไม่ใช่ ไอ้คนที่ชั่วขนาดไหน องคุลิมาลฆ่ามา ๙๙๙ ศพ องคุลิมาลยังเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้ความชั่วๆ ไอ้ที่กระทำผิดมันกระทำผิดด้วยความมืดบอด ไอ้ความดี ไอ้ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ถ้าเวลามันคิดของมันแล้ว มันพลิกมันแพลงของมันได้แล้ว องคุลิมาลฆ่าคนมาแล้ว ๙๙๙ ศพไง
เวลาคนมาบ่นที่เรานะ ผมไม่มีอำนาจวาสนา ผมทำไอ้นั่นมาเยอะ
องคุลิมาลมันฆ่าคนมา ๙๙๙ ศพ ไม่มีใครฆ่าคนได้เป็นพันคนเท่าองคุลิมาลหรอก ไอ้ที่ยังไม่ได้เศษนิ้วนั่นน่ะ เกินพันแน่นอน คนที่ทำความชั่วมาขนาดนั้นเขายังบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมาได้ ความบรรลุเป็นพระอรหันต์ขึ้นมามันต้องมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องคุลิมาลกลับมาไม่ได้หรอก
เพราะเป็นนักปราชญ์ เป็นนักรบ เป็นผู้มีวิชา ใครจะสอนกูได้วะ กูนี่เก่งนัก แล้วคนที่ไปสอนมันก็เอาเหตุเอาผลไปสอน โอ๋ย! ไร้สาระ กูจะฆ่ามึง กูจะเอานิ้วที่ ๑,๐๐๐ ต่างหาก
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณไง เขามีวาสนาของเขา แต่วาสนาต้องให้เขาสำนึกของเขาได้เอง
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มารดาก็จะมาบอกข่าวว่าเขาจะส่งกองทัพมาทำลายไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปให้เห็นก่อนไง เห็นก่อน เอานิ้วนี้ นิ้วนี้ต้องครบ ๑,๐๐๐ แล้วน่ะ ตามไปๆ ไง ตามไป
ด้วยบุญญาธิการ องคุลิมาล ในตำรานะ เป็นคนที่วิ่งเร็วกว่าม้า ม้าวิ่งสู้องคุลิมาลไม่ได้ เขามีวิชาขนาดนั้นนะ เขาเป็นนักรบ เขามีฝีมือมาก แล้วเขามีคุณวิเศษในตัวของเขามาก เขาวิ่งเร็วกว่าม้า แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลื่อนไป วิ่งไม่ทัน
“สมณะหยุดก่อน สมณะหยุดก่อน”
“เราหยุดแล้ว เธอต่างหากไม่หยุด”
คนที่เป็นนักปราชญ์นะ หยุดอะไรวะ กูวิ่งเกือบตายยังไม่ทันเลย หยุดอะไรวะ
แง่มุมของธรรมไง ไอ้การหยุด ในโลกมันมีหยุดหลายชนิด โลกหมุนไปหยุดก็ได้ นาฬิกาตายก็ได้ คนทำร้ายกันหยุดก็ได้
นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเคลื่อนไป “เราหยุดแล้ว แต่เธอต่างหากที่ยังไม่หยุด”
มันหยุดอะไร
คนมีสติมีปัญญา ถ้ามันมีแง่มุมมีเทคนิคแล้วมันคิดได้ พอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เราหยุดทำความชั่ว หยุดถือดาบ หยุดวิ่งไล่คน หยุดที่จะเอาแต่ความพอใจของตน”
ได้คิดน่ะ วางดาบลง คำว่า “ได้คิด” เห็นไหม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านสอนประจำ สิ่งที่เป็นจริงๆ มันรื้อสัตว์ขนสัตว์ในใจของสัตว์โลก
หลวงตาเวลาท่านเทศนาว่าการ ท่านบอกว่าจี้เข้าไปในใจดำมันน่ะ กิเลสมันอยู่ตรงนั้นน่ะ
เวลาธรรมะของพระกรรมฐาน ตีหัวกิเลส ตีหัวกิเลสไง ตีหัวไอ้ความทิฏฐิมานะ ไอ้ความคิดผิดนั่นน่ะ
เวลาได้สำนึก วางดาบ แล้วขอบวช เวลาขอบวช ด้วยบุญญาธิการของท่าน แล้วด้วยบุญญาธิการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอนาคตังสญาณมันทะลุปรุโปร่งไปหมด มันเข้าใจได้หมด แต่มันน่าเศร้าใจไง มันน่าเศร้าใจว่า ๔๕ ปี คนที่ยังอีกมากมายที่ท่านไม่มีเวล่ำเวลาจะไปรื้อสัตว์ขนสัตว์ไง
สิ่งที่มันเป็นไปได้นะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ ร้องไห้ “ดวงตาของโลกดับแล้ว ดวงตาของโลกดับแล้ว”
นี่ไง บุญญาธิการ ปัญญาคุณ นั่นน่ะดวงตาของโลกดับแล้ว เป็นพระโสดาบันนะ ยังคร่ำครวญร้องไห้ขนาดนั้น นี่พูดถึงว่าถ้าคนเห็นคุณไง
พระผู้เฒ่า ลูกศิษย์พระกัสสปะ “โอ๋ย! ตายสักทีน่ะดี อยู่แล้ววุ่นวายมาก นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่ได้สักอย่าง”
มุมมองทัศนคติ พระโสดาบันคร่ำครวญร้องไห้ ไอ้มิจฉาทิฏฐิบอกตายเสียได้ก็ดี อยู่แล้วสร้างกฎกติกาเยอะเกินไป ลำบากฉิบหายเลย กูอยากอยู่สุขอยู่สบาย นี่ไง ทัศนคติไง บุญกุศลของคนไง พันธุกรรมของจิตไง ที่สร้างมาดีและสร้างมาไม่ดีไง คนคิดได้และคิดไม่ได้ เห็นไหม
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชำระล้างจิตใจของสัตว์โลก ไม่ใช่ไปวัดแล้วซื้อเหรียญ ซื้อพระห้อยคอ จบ แต่หัวใจกว่ามันจะมีสติมีปัญญา มันต้องค้นคว้า มันต้องแสวงหาเพื่อประโยชน์กับหัวใจดวงนี้ เอวัง