เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๙ ก.ย. ๒๕๖๒

เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๒

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต


ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


ตั้งใจฟังธรรมะ ธรรมะเข้าไปขัดเกลาหัวใจของคนนะ

ดวงใจดวงใดไม่มีมรรค ดวงใจดวงนั้นไม่มีผล ดวงใจไม่มีสัจธรรม ไม่มีรสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง ไม่มีธรรมโอสถชโลมหัวใจของเราบ้าง เราทุกข์เราร้อนมาก นี่ผลของวัฏฏะๆ ในพระไตรปิฎกบอกว่า เหมือนคนเดินไปกลางทะเลทรายแล้วล้มลง มองไปข้างหน้ายังมีเส้นทางที่ยังจะเดินต่อไปอีก มันทุกข์ยากแค่ไหน

เวลามันทุกข์มันยากนะ คนเวลาเดินไปผจญภัยอยู่กลางทะเลทรายแล้วล้มลง เพราะไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร แล้วยังจะต้องกระเสือกกระสนไปต่อหน้าๆ นี่ผลของวัฏฏะนะ นี่พูดถึงว่าเวลาเปรียบเทียบถึงรูปธรรม

แต่สัจจะความจริงของหัวใจของคน เวลาเราเกิดมาๆ เวลาเกิดมาวัดกันด้วยทางวิทยาศาสตร์ เวลาเกิดมา สิ่งที่มีค่าที่สุดคือทรัพยากรมนุษย์ มนุษย์มีค่าที่สุดไง ชาติ ชาติจะมีอยู่ได้ก็ต้องมีคน คนสำคัญมาก เพราะคนทำให้ชาติเจริญก็ได้ คนทำให้ชาติล่มจมก็ได้ คนทำให้เกิดความแตกแยกก็ได้

แต่ธรรมโอสถ ธรรมโอสถขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหล่อเลี้ยงให้หัวใจของคนมีความสุข ถ้าหัวใจของคนมีความสุขขึ้นมา ใจมีความสุข มันจะไประรานเขาไหม มันจะไปยุไปตำ ไปยุไปแหย่ให้สังคมแตกแยกไหม มันเป็นไปไม่ได้ไง นี่ธรรมโอสถๆ ไง สิ่งที่เป็นธรรมโอสถ เห็นไหม

เรามาวัดมาวากัน เรามาทำบุญกุศลของเราๆ มันเป็นวิทยาศาสตร์ การเสียสละไป การให้ไป สิ่งนั้นมันจะให้ผลตอบแทนเป็นทาน ทาน เรามีศีล มีศีลคือความปกติของใจ ใจปกติ เราจะทำบุญกุศลของเรา เรามีศีล มีความสงบเรียบร้อย ทำสิ่งใดแล้วมีสมาธิมีความสงบของเรา ถ้ามีปัญญาๆ ต้องอาศัยปัญญาขึ้นมา ปัญญาขึ้นมาให้เรามั่นคงในหัวใจของเรา

เวลาทางโลกเขาเป็นโรคทรัพย์จางๆ เวลามันทุกมันยากขึ้นมาเพราะว่าระบบเศรษฐกิจ เศรษฐกิจมันมีผลกระทบไปทั้งสิ้น คนเราเกิดมา แม้แต่เศรษฐกิจจะดีหรือเศรษฐกิจจะแย่ คนก็มีผลประโยชน์ในเศรษฐกิจนั้น ถ้าผลประโยชน์ในเศรษฐกิจนั้น ถ้าเรามีปัญหาขึ้นมา เรามีสติ มันทุกข์มันยาก มันแน่นอนทั้งสิ้น

เพราะคนเราต้องรักษาเครดิต หน้าตานี้สำคัญมากนะ พอหน้าตาสำคัญมาก ทุกอย่างบีบคั้นเข้ามาๆ คนไม่มีทางออก คนไม่มีทางออกมันน่าเศร้าใจ เพราะคนทำร้ายตัวเองมาก คนทำร้ายตัวเองมาก

ทั้งๆ ที่เรานับถือพระพุทธศาสนานะ พระพุทธศาสนาเขาจะเจือจานกัน จะช่วยเหลือกัน เขาจะสนับสนุนกัน แต่ให้พูดออกมา แต่เวลาพูดขึ้นมา เวลาเราเป็นผู้เสียหาย เราร้องเรียน ไปร้องเรียนที่ไหน ร้องเรียนหน่วยงานใดเงียบหมดเลย ลองได้ออกข่าวน่ะมาทันที จัดการให้จบ

เวลาบอกว่า เวลาเขาจะจัดการให้จบ จัดการให้จบมันจัดการได้ เวลาคนจะช่วยเหลือเจือจานด้วยความน้ำใสใจจริงมันแก้ไขสถานการณ์นั้นได้ แต่เวลาเราไปร้องเรียนที่ไหน ร้องเรียนที่ไหน เพราะความร้องเรียน เพราะเบอร์โทร ๑๙๑ มันไปเล่นกัน ไปพูดจนเขาไม่เชื่อถือ เอ็งโทรมาเอ็งมีธุระอะไร เอ็งโทรมา เอ็งโทรมากลั่นแกล้งเขาใช่ไหม เอ็งโทรมาน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา ใครเขาไว้วางใจเราหรือไม่ เขาเชื่อใจหรือไม่ เวลาเราตกทุกข์ได้ยากขึ้นมา เพราะอะไร เพราะเราไม่มีศีลไง เราพูดจามดเท็จ พูดจาโกหก พูดจาด้วยเล่ห์เลี่ยม มันไม่เป็นความจริงไง ถ้าไม่เป็นจริงขึ้นมา แล้วคนจะช่วยเหลือเขาจะไว้วางใจได้หรือไม่ นี่พูดถึงปัญหาทางโลกนะ

ที่เรามาวัดมาวากันมันเป็นค่าของน้ำใจไง เวลาทำบุญกุศลขึ้นมา ใจเราคิดสิ่งใด

ไม่ต้องมาก น้ำใจของคนเล็กน้อยก็พอ ดูสิ ทุคตะเข็ญใจในสมัยพุทธกาลเขาเป็นคนจนนะ ข้าวจะกินยังไม่มีเลย เขาอุตส่าห์กระเหม็ดกระแหม่ใส่บาตรพระสารีบุตรไป ข้าวทัพพีเดียว แล้วเขาเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เขาอยากบวชมากไง ไม่มีใครให้เขาบวช ไม่มีใครให้เขาบวช เขาก็ไปร้องเรียนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประชุมสงฆ์

ทุคตะเข็ญใจนี้มีคุณกับใครบ้าง

พระสารีบุตรยกมือขึ้นเลย แล้วองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระสารีบุตรว่า เขามีบุญคุณอะไรกับเธอ

เขาเคยใส่บาตรข้าพเจ้าหนึ่งทัพพีครับ

ถ้าอย่างนั้น ถ้าเขามีบุญคุณกับเธอ เขาอยากบวชแล้วไม่มีใครบวชให้ เธอบวชให้เขา

บวชให้เขาขึ้นมา เห็นไหม คนเรามันไม่เท่ากัน มันไม่เสมอกัน ที่ว่าเป็นอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นพระสีวลีที่ลาภมาก อันนั้นก็บุญกุศลของท่าน เราก็ไม่ไปจาบจ้วงอะไรทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่ได้เกิดขึ้นมามันเป็นผลจากการกระทำเราทั้งสิ้นนะ เป็นผลจากการกระทำๆ เช่น เราเป็นคนซื่อสัตย์ เราเป็นคนมีศีลมีธรรม เราพูดจาสิ่งใดสังคมทำไมเขาเชื่อถือเรา อีกคนหนึ่งคนที่โกหกมดเท็จไปพูดที่ไหนก็ไม่มีใครเชื่อฟัง พูดเหมือนกันแต่คนไม่ฟัง เพราะอะไร เพราะเขาทำมา

คนที่ซื่อสัตย์เขาสุจริตของเขา เขาพูดของเขามาจนสังคมเชื่อถือศรัทธา ไอ้คนที่สนุกสนานของเขา พูดจาด้วยความกะล่อนปลิ้นปล้อนเพื่อความสนุกสนานของตน คิดว่าจะเป็นผลประโยชน์ของตนขึ้นมานะ เวลาไปจนตรอกขึ้นมา พูดสิ่งใดไม่มีใครเขาเชื่อถือ เห็นไหม นี่เราทำมา ผลไง ผลของการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

เราเกิดมามีอาการ ๓๒ นี่เราภูมิใจแล้ว เราภูมิใจแล้ว สิ่งที่ทำสิ่งใดแล้วไม่ประสบความสำเร็จนั้นมันเป็นเพราะอำนาจวาสนาของเรา ถ้าอำนาจวาสนาของเราแล้ว เราเห็นผลของมันแล้ว เขาพยายามฝืนทนๆ ฝืนไปๆ ทำคุณงามความดีต่อเนื่องไป ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อแท้ แล้วไม่ท้อแท้แล้วทำของเราต่อเนื่อง ทำต่อเนื่อง ถ้าทำต่อเนื่องขึ้นไป

เวลาสิ่งที่โลกเขาต้องการกันก็เป็นวัตถุใช่ไหม โลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศใช่ไหม แต่ธรรมโอสถๆ ไง ธรรมโอสถเกิดเพราะมีสัจธรรมขึ้นมา มีสัจธรรม มีธรรมโอสถขึ้นมาชโลมหัวใจของเราขึ้นมา เหตุการณ์อันเดียวกันนั่นแหละ แต่มันร่มเย็น เหตุการณ์อันเดียวกันนั่นแหละ ที่มันเคยทุกข์ยากน่ะ แต่ถ้ามีธรรมโอสถขึ้นมามันร่มเย็น

นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งนั้นเป็นสัจจะเป็นความจริงๆ

เป็นความจริงจริงๆ แต่เพราะความโลเลของเรา พอเราขาดศีลขาดธรรมไง เราขาดศีลขาดธรรม ขาดความอบอุ่นในหัวใจไง

ดูสิ เด็กที่มันมีความอบอุ่น มีสิ่งใดมามันสงสารเพื่อนน่ะ เอ๊ะ! ทำไมเพื่อนร้องไห้ ทำไมเพื่อนไม่มีคนดูแล มันเห็นเพื่อนมันก็งงนะ เพราะอะไร

เพราะเขาได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวของเขาไง พ่อแม่เขาคุ้มครองดูแลใช่ไหม เขาก็คิดว่าเพื่อนเขาจะได้เป็นอย่างนั้นไง แต่พอมองไปที่เพื่อน ทำไมเพื่อนของเขาเป็นอย่างนั้นล่ะ มาโรงเรียนไม้บรรทัดก็ไม่มี ดินสอก็ไม่มี สมุดก็ไม่มี อะไรก็ไม่มีเลย รองเท้าก็ไม่มี ทำไมเพื่อนเป็นอย่างนั้น ทำไมเพื่อนเป็นอย่างนั้น นี่ไง เขาคิดไม่ได้ เขาเป็นเด็กไร้เดียงสาไง แล้วก็สงสารเพื่อนๆ ไง

นี่เขาทำมาๆ ไอ้ของเราถ้ามันมีความสมบูรณ์ ถ้ามันสมบูรณ์ดีงามของเราเพราะเราทำมาด้วยบุญกุศล เราทำบุญกุศลของเรา นี่พูดถึงทางวิทยาศาสตร์ นี่ทางโลกนะ โลกนี้เป็นวิทยาศาสตร์ มันให้ผลอย่างนั้น แต่ถ้าเป็นธรรมล่ะ

ทำบุญทิ้งเหวๆ มันมีอยู่นะ ในพระไตรปิฎก มีทุคตะเข็ญใจเขาเป็นคนรับจ้างทำนา เขาก็ทำนา เช้าขึ้นมาเขาก็ไถนาของเขา วันนั้นเขาก็ไถนาของเขา แล้วลูกเขาต้องมาส่งอาหารไง เขาหิวกระหายมาก เขาเคียดแค้นในใจมาก ถ้าลูกมาเดี๋ยวมีปัญหาแน่นอน

แต่พอเวลาลูกมา พระกัสสปะออกฌานสมาบัติ พอขึ้นมาด้วยศรัทธาด้วยความเชื่อ ด้วยศรัทธาในหัวใจนะ เขาหิวกระหาย เขาจะเป็นจะตายอยู่แล้ว แล้วเขาไถนาอยู่ คนที่ทำงานหนักขนาดไหน เวลาเห็นพระกัสสปะออกฌานสมาบัติมา ลูกก็มาส่งอาหารพอดี ด้วยเสียสละไง ด้วยเห็นแล้วอยากทำบุญ ทำบุญกุศลอันนั้นไป สิ่งที่อาหารมื้อนั้นได้ใส่บาตรพระกัสสปะพึ่งออกจากฌานสมาบัติมา เป็นพระอรหันต์ด้วย กลับลงไปไถนานะ ที่มันหิวมันกระหาย มันทุกข์มันยาก กลับกลายเป็นความชุ่มชื่น

นั่นน่ะสิ่งนั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์สิ่งที่เป็นวัตถุ แต่เวลาเขาทำบุญกุศลของเขา จากที่มันทุกข์มันยาก มันคับมันแค้น เวลาไปไถนาขึ้นมา พอทำบุญกุศลไปแล้ว พอไปไถนา ผืนดินที่ไถผลักขึ้นมา ผืนดินก้อนดินกลายเป็นทองคำหมดเลย กลายเป็นทองคำๆ ทั้งนั้นน่ะพลิกขึ้นมา ด้วยบุญกุศลของเขา ด้วยอำนาจวาสนาของเขา

เวลาอำนาจวาสนาของเขา คนสมัยโบราณสังคมมันแคบไง เขาไม่กล้าจับหรอก เพราะว่าเขาเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ จะกินยังไม่มีจะกินเลย แล้วมีทองคำขนาดนี้ใครจะเชื่อ ถ้าเอาไปเขาต้องหาว่าปล้นชิงมาทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยความฉลาด ไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร บอกข้าพเจ้าเป็นคนทุคตะเข็ญใจ เป็นผู้รับจ้างทำนาของคหบดีเขา เวลาด้วยความหิวกระหาย เรื่องชีวิตมันคับแค้นมาก แต่เวลาได้เห็นพระกัสสปะ มันมีความชุ่มชื่น มีบุญกุศล ได้ใส่บาตรมื้อนั้นไป ได้ใส่บาตรอาหารที่จะดำรงชีพ ใส่บาตรพระกัสสปะไป แล้วมันความอิ่มบุญของตน ลงไปไถนา ผืนดินนั้นเป็นทองคำ เป็นทองคำหมดเลย

ถ้าไปพูดให้คนอื่นเขาก็ไม่เชื่อ ไปพูดที่ไหนมันมีปัญหาทั้งสิ้นทั้งนั้นน่ะ อะไรแผ่นดินเป็นทองคำขึ้นมาได้อย่างไร แต่พระเจ้าพิมพิสารเป็นพระโสดาบัน ทำไมท่านจะไม่รู้ ท่านรู้ของท่านไง ท่านบอกอยู่ที่ไหน ให้เอาเกวียน ให้ทหารเอารถไปรับไปขนมา

เวลาจะไปขนมา ไปยกขึ้นมาเป็นดินอย่างเดิม พอเป็นดินอย่างเดิมกลับมาหาพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารรู้ พระโสดาบันไง พระโสดาบันคือซื่อตรงต่อสัจธรรม ซื่อตรงต่อความจริง บอกว่าให้กลับไปใหม่ แล้วบอกว่าจะไปเอาของคำของคนทุคตะเข็ญใจนี้ กลับไปยกทองคำเป็นทองคำเช่นเดิม เข็นมา ๘๐ เล่มเกวียน เข็นมา ๘๐ เล่มเกวียนมากองอยู่กลางพระราชวังนั้นน่ะ แล้วพระพิมพิสารประกาศเลย ในอาณาจักรของเราใครมีสมบัติมากเท่านี้ไหม ไม่มี ตั้งเขาให้เป็นเศรษฐีประจำรัชกาล นี่อยู่ในพระไตรปิฎก

นี่พูดถึงว่าถ้ามันเป็นเรื่องของสัจธรรมๆ นะ ถ้าเป็นวิทยาศาสตร์มันว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แล้วสิ่งใดทำแล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์ทั้งสิ้น แต่นี่มันเป็นผลของบุญกุศล

ให้เราพิจารณานะ เขาเสียสละชีวิตของเขานะ เขาอาจจะเป็นลมตายก็ได้ถ้าเขาไม่ได้กินอาหาร เขาเสียสละเลย เพราะอะไร เพราะมันเป็นบุญกุศลในหัวใจ นี่ไง เวลามากลับขึ้นมา จากแผ่นดินเป็นทองคำๆ ทั้งสิ้นเลย มันเป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมา มันอยู่ในพระไตรปิฎก นั่นมันเป็นเรื่องข้อเท็จจริงในสมัยนั้น ในสมัยของเรา เราว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร จะเป็นไปได้อย่างไร นี่พูดถึงเรื่องของธรรมๆ

เวลาถ้าเป็นเรื่องของโลกนะ เป็นวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ ธรรมะ เวลาเรื่องบุญกุศลมันยังมหัศจรรย์ขนาดนั้น แล้วเวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เราเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เราเป็นคนขี้ครอก เรามีแต่ความทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เวลาเรามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา เราเชื่อมั่นด้วยศรัทธาด้วยความจริงของเรานะ ตั้งสติ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้าจิตมันสงบระงับเข้ามา จิตระงับเข้ามาๆ เอ๊ะ! ทำไมมันเป็นอย่างนั้น

สิ่งที่เป็นๆ มันเป็นไปด้วยอาการทั้งสิ้น ที่เราพูด เรากระทำอยู่นี้ สมองสั่งการ นี่เป็นอาการทั้งสิ้น อาการทั้งสิ้น แม้แต่กำหนดพุทโธก็เป็นอาการอาการหนึ่ง อาการของจิตที่มันเคยเป็นอิสรภาพ เคยมีกิเลสยุแหย่ เคยคิดตามความใจชอบของมัน แต่บัดนี้เรามีสติปัญญา เรามีสติปัญญาเพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องภาวนา

การภาวนาเป็นการกระทำที่ยิ่งใหญ่นัก ยิ่งใหญ่นักเพราะจะเอาชนะใจของตนไง แล้วเวลาความคิดต่างๆ ศรัทธาความเชื่อมันก็มาจากความคิดนี่แหละ แล้วความคิดนี้เป็นศรัทธา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันก็เป็นความคิดนี่แหละ แต่มันเป็นอาการของใจที่มันเส้นทางเดินของมันไง

แต่บัดนี้เราพลิกกลับมา พลิกกลับมาให้มันเส้นทางเดินเข้าสู่คำบริกรรม เข้าสู่พุทธานุสติ เวลาพุทโธอาการทั้งสิ้น แล้วอาการนี้มันเบาลง แต่เวลาทำใหม่ๆ ขึ้นมาอาการมันจะต่อต้านมาก มันจะกดดันมาก กดดันมากเพราะอะไร

กดดันมากเพราะคนมันเคยสะดวกเคยสบายไง พอบังคับๆ ขึ้นมา หัวใจมันเคยเป็นอิสระ หัวใจเรามันคิดเองทำเอง แล้วกระทืบซ้ำเติมหัวใจเราเอง เราทุกข์เรายากอยู่นี่ เราไม่รู้จักอะไรทั้งสิ้น เราแก้ไขอะไรไม่ได้เลย แต่วันหนึ่งเราเป็นชาวพุทธ เรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนา แล้วมีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไง เรามีศรัทธาความเชื่อขึ้นมา เราจะกระทำของเราบ้างขึ้นมา เราจะกระทำบ้างๆๆ

หลวงตาท่านพูดบ่อย ทำบ้างๆ ทำบ้างๆ เราก็จะทำของเรา มันเป็นกิริยาทั้งสิ้น มันเป็นอาการทั้งสิ้น แต่อาการนี้ถ้ามีเจตนา มีศรัทธาความเชื่อ มีสติปัญญาที่คุ้มครองดูแล แล้วมีบุญมีอำนาจวาสนานะ อาการต่างๆ มันเริ่มเบาลงๆ

พุทโธจนพุทโธไม่ได้ พุทโธไม่ได้คือว่ามันเป็นอิสระ ไม่มีอาการ แต่มันจะเกิดจากอาการ อาการกระทำของมัน อารมณ์ความรู้สึก ความรู้สึกนึกคิดนี้อาการทั้งสิ้น แต่เราปล่อยปละละเลย ปล่อยให้มันไปหยิบฟืนหยิบไฟเป็นบ้าหอบฟาง คิดทั้งวันทั้งคืน คิดจนเครียด คิดจนทุกข์ตลอดเวลา บังคับ ใหม่ๆ ต้องบังคับ

เขาบอก อู๋ย! ภาวนาทำไมมันยุ่งมันยาก ทำไมมันต้องมาบังคับ

เด็กๆ นะ เขาบังคับด้วยลาภ เขาบังคับด้วยให้รางวัล เด็กๆ เวลาทำดีให้รางวัลมัน ให้รางวัลมัน นี่ก็เป็นการบังคับอย่างหนึ่ง แล้วพอมันโตขึ้นมา ถ้าทำผิดต้องลงโทษๆ บังคับ บังคับให้เป็นคนดี

แล้วหัวใจของเรามันอยากเป็นใฝ่ดีๆ แล้วปล่อยให้กิเลสมันชักจูงใช่ไหม ปล่อยให้กิเลสมันหลอกลวงใช่ไหม ปล่อยให้แต่ความพอใจมันชักจูงไปใช่ไหม แล้วก็สรุปลงว่า ทำดีไม่ได้ดี ทำบุญไม่ได้บุญ

เอ็งทำอะไร

บุญกุศลเป็นเรื่องบุญกุศลนะ คนเรา ดูสิ อาหารแค่อิ่มท้องก็จบแล้ว มากกว่านั้นกินไม่ลง บุญกุศลก็เหมือนกัน ที่ว่าทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี ถ้ามันแค่อิ่มท้อง สิ่งนั้นสิ่งที่เหลือมาเราเสียสละเพื่อประโยชน์กับส่วนรวม แล้วใจของตนๆ ทำดีไม่ได้ดี ทำดีไม่ได้ดี ทำดี มีอะไรดีล่ะ แสวงหามันไม่มีวันที่สิ้นสุดใช่ไหม

เรามีวันสิ้นสุดของเรา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมขึ้นมา บอกเรื่องโลกก็เป็นเรื่องโลก ถ้าเรื่องการกระทำ เรื่องคุณธรรมนะ เพราะคนเวลามันไม่มีที่พึ่ง ธรรมโอสถไง ไม่มีที่พึ่งที่อาศัยนะ แล้วคนที่มีที่พึ่งที่อาศัย เราช่วยกันเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัยนี่ช่วยได้ง่ายนะ แต่ใจที่มันทุกข์มันยากเหมือนคนป่วย

คนป่วย ป่วยนะ ป่วยเล็กน้อยไปโรงพยาบาล ไม่รักษาก็หาย รักษาเล็กน้อยก็หาย ไอ้คนป่วยหนักๆ เข้าไปนอนอยู่ติดเตียงอยู่นั่นน่ะ

นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่มันป่วย มันมีความรุนแรง มันมีความทุกข์ใจของตน ธรรมโอสถจะเข้าบรรเทาๆ ธรรมโอสถนะ อาหาร ปัจจัยเครื่องอาศัยดำรงชีพ หมอแก้ไขที่ร่างกายนี้ ธรรมโอสถ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแก้ไขหัวใจของเรา

แต่มันไม่เอา นี่ไง ถ้าธรรมโอสถมันดี หลวงพ่อเสกเลยสิ เสกให้ทุกคนมีความสุขหมดเลยสิ

ไอ้นั่นน่ะโกหก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เราเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น คนที่ขวนขวาย ถ้าใครได้กินอาหาร คนนั้นก็จะอิ่มปากอิ่มท้อง ใครมีศรัทธามีความเชื่อ หัดบริกรรมของตน มันก็จะอิ่มหัวใจ หัวใจมันจะเป็นขึ้นมา เพราะว่าในใจของเราไม่มีใครเข้าไปกำหนดกดดันในใจเราได้ แต่เพราะมีความเชื่อความศรัทธาของเรา ถ้ามันทำใหม่ๆ เริ่มต้น จะผิดจะถูกไม่เป็นไร ผิดถูกแล้วมาคุยกันได้ ผิดถูกเพราะเราเป็นชาวพุทธ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้กับพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ภิกษุ ภิกษุผู้ที่เป็นนักรบ ผู้ที่มีการกระทำ ครูบาอาจารย์เรามี เป็นอะไรก็ไปถามท่านสิ

เวลาไปหาพระ ถามท่านเลย ผมภาวนาไม่ได้ ผมภาวนาไม่เป็น ไม่ต้องบอกว่าจะร่ำจะรวย จะเอาเลขนั้นเลขนี้ ไม่ต้องไปถาม ถามเลยว่า ผมจะทำอย่างไรให้พ้นจากทุกข์ ผมทุกข์มากนัก

ปรึกษาได้ แต่ให้ทำก่อน เราไม่ทำอะไรเลยแล้วไปปรึกษา มันก็เหมือนจะให้เสกๆๆ ให้เสกเดี๋ยวเราเสกให้เป็นผีหมดเลย มันจะไปเสกเป็นอะไร เราเองต่างหากต้องขวนขวายของเราขึ้นมาเพื่อชนะหัวใจของเรา ถ้าชนะใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

ธรรมโอสถนะ จะทำให้ประชาชนชาวไทยไม่ดิ้นรนเดือดร้อนจนมากเกินไป

ดิ้นรนเดือดร้อนจนไม่มีที่พึ่งที่อาศัย แล้วก็ทำร้ายตัวเอง ถึงที่สุดแล้วก็มาทำร้ายตัวเองว่าตัวเองทนอยู่ไม่ได้ ทนอยู่ไม่ได้

แล้วอะไรมันจะทนอยู่ได้ล่ะ มันเป็นแค่ความรู้สึกเท่านั้นแหละ แต่เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากมันยุมันแหย่จนขาดตกบกพร่อง ขาดสติ ขาดปัญญา ขาดทุกๆ อย่าง แล้วฝึกหักๆ อย่างนี้ ทาน บุญกุศลเป็นเรื่องของบุญกุศล บุญกุศลชักให้มาวัด บุญกุศลให้มาเจอกัลยาณมิตร บุญกุศลชักจูงให้เราได้ปรึกษาหารือกัน แต่การกระทำ การกระทำของเรา เราฝึกหัดขึ้นมาให้มีธรรมโอสถ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต ในหัวใจของเรา เอวัง