ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ชีวิตสัตว์

๓ มี.ค. ๒๕๖๑

ชีวิตสัตว์

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๑

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ถาม : เรื่อง ชั่วจริงๆ

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ

หนูมีคำถามที่หนูคิดว่าคำตอบมันก็คงจะเป็นอย่างที่หนูคิดไว้แล้ว แต่หนูก็ขอฟังคำตอบจากหลวงพ่ออีกครั้งเจ้าค่ะ หนูมีปัญหาเกี่ยวกับการฆ่าสัตว์คือมด หนูทำอาชีพค้าขาย แต่ถูกมดเบียดเบียนทุกวันและเยอะมากๆ ทำลายข้าวของเสียหายทุกวัน

หนูต้องฉีดยาฆ่ามดทุกวัน และบางวันของบางอย่างฉีดยาไม่ได้ ก็ต้องใช้น้ำร้อนลวกเอารอบๆ ร้านค้ามดทำรังเป็นหมื่นเป็นแสน แต่หนูก็ต้องฉีดยาฆ่ามันทุกวัน เคยคิดว่าจะฉีด เฉพาะที่ทำให้ของเสีย แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมีอยู่รอบๆมันก็พากันมาขึ้นของเสียอยู่ดี หนูรู้สึกไม่สบายใจเลยสักวัน ที่ต้องฆ่าชีวิตคนอื่นเขาอยู่แบบนี้ แต่หนูจนปัญญาแล้วจริงๆ

ขอหลวงพ่อเมตตาตอบหนูด้วยค่ะ หนูควรทำอย่างไรดีคะ

ตอบ : นี่พูดถึงนะ พูดถึงอาชีพ สิ่งที่เป็นอาชีพคนเราเกิดมา มันต้องมีอาชีพคนเราเกิดมาต้องมีหน้าที่การงาน แต่งานสิ่งใดล่ะ งานสิ่งใด เห็นไหม มันคัดเลือกมันแยกเอา แต่นี่แบบว่าเวลาเขาเป็นคนที่ขายของ ขายของแล้วแต่สิ่งที่มันมารบกวนใช่ไหม ถ้ามารบกวนเราก็ต้องปกป้องสินทรัพย์ของเรา ถ้าเราปกป้องสินทรัพย์ของเรา แล้วเราจะทำอย่างไร

แต่ที่คนอื่นเขาทำ เขาทำของเขา เขาทำด้วยความ แบบว่ารู้สึกว่าพอใจ แต่ของเรา ถ้าคนที่มันมีความรู้สึก เราทำ สิ่งใดไปแล้วมันสะเทือนใจนะ ทั้งๆ ที่ว่าเราก็รักษาทรัพย์สินของเรานี่แหละ แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิต มันเป็นสิ่งมีชีวิต เห็นไหมสิ่งมีชีวิตแล้วถ้าพูดถึงภัยแล้งภัยต่างๆ สิ่งมีชีวิตมันต้องการอาหารนะ สิ่งที่มันต้องการอาหารมันก็เพื่อดำรงชีพของมัน แต่ถ้าดำรงชีพของมันนะ เราทำแล้ว เราก็เสียใจเป็นเรื่องธรรมดา เขาบอกว่า เขาทำชั่วจริงๆ ทำชั่วจริงๆ

ใช่เราทำนี่มันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกับศีลธรรมที่องค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ศีล  ศีล  ไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำลายใครทั้งสิ้น แต่นี้ความไม่เบียดเบียนใคร เราก็ไม่ เบียดเบียนใครโดยที่ว่าเราเอาเปรียบ หรือเราต้องการผลประโยชน์ ของเรา แต่ในการเราป้องกันทรัพย์สินๆ กรณีอย่างนี้ เวลาเขาบอกว่า รู้คำตอบหลวงพ่ออยู่แล้วแหละ แต่ก็ยังอยากจะฟังหลวงพ่อพูดอยู่นั่นน่ะ

เพราะ เพราะเวลาเราเจอปัญหาแบบนี้ เวลาเราเป็น พระนะ เวลาพระเนี่ยเวลาพระธุดงค์ไป เวลาพระธุดงค์ไปมัน อยู่ในบุพพสิกขาก็มี เวลาพระธุดงค์ไปเห็นไหม เวลาธุดงค์ไปตามในที่ชายป่า เขาจะมีชาวบ้านหรือพระที่เข้าไปอยู่ก่อนเขาจะทำร้านไว้ ทำร้านไว้แล้วถ้ามันมีที่มุงที่บังนะ มันก็จะมีหมอน มีหมอนมีผ้าห่มเขาจะผูกเชือกแล้วแขวนไว้ เวลาพระที่เราไป เราธุดงค์ไป เราจะไปใช้สอย เราก็แกะเชือกนั้นออกมา แล้วเอาหมอนเอาผ้าห่มนั้นมาใช้ พอใช้เสร็จแล้วเราต้องตากแดด เรา ต้องทำความสะอาด เสร็จแล้วเราต้องผูกเก็บขึ้นไปไว้อย่างเดิม ถ้าเราไม่ผูกเก็บไว้อย่างเดิม เราจากที่นั้นไป เห็นไหม ปลวกมันกินไง ทั้งปลวกกิน ทั้งมดมันมากัดต่างๆ

นี่มันมีอยู่  ประเด็น ประเด็นหนึ่ง ของที่ใช้แล้ว เราจากที่นั่นไป ไม่ได้เก็บเองก็ดี ไม่ได้สั่งให้ใครเก็บก็ดี เป็นอาบัติปาจิตตีย์

แต่ถ้าเวลาเราป้องกันๆ เราป้องกัน เราทำความสะอาด มันจะไปทำลายชีวิตมดไหม เวลาเราไปทำลายชีวิตสัตว์ เราก็ เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ภิกษุทำชีวิตเขาให้ตกล่วงก็เป็นอาบัติปาจิตตีย์ ผิดศีล  ฆราวาสผิดศีล  พระศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗มันก็มี ข้อนี้ด้วย ถ้ามันมีข้อนี้ด้วย ถ้าเราไม่ทำ ก็เป็นอาบัติ ถ้าเราทำ ถ้าทำ ทำเกินไป กระทบกระเทือนชีวิตเขาเป็นอาบัติ เวลาเป็นพระนะ

นี่พูดถึงว่า เวลาโยมไง โยมบอกว่า โอ๋ยพระสบาย เช้าขึ้นมาก็บิณฑบาตอู๋ยเต็มบาตรมาเลย เราทำมาหากินเป็นความทุกข์ความยาก” พระนะ บิณฑบาตกลับมาแล้วผึ่งผ้านะ ผ้านี่ต้องผึ่ง ผึ่งเพื่ออะไร ผึ่งเพื่อให้แบบว่าให้แดดมันกำจัดกลิ่น ให้ลมมันพัด ไม่ผึ่งก็เป็นอาบัตินะ แล้วถ้าผึ่งเกิน ๑๐ โมงหรือเที่ยงนะ ถ้าโยมไปวัดไหนยังตากจีวรอยู่ ยังตากผ้าอยู่ นั่นก็เป็นอาบัติ ไม่ตากก็เป็นอาบัติตากนานเกินไป เห็นไหม โดนเผา จนสีมันซีด จนมันเสียหายก็เป็นอาบัติ

เช็ดบาตร ฉันข้าวเสร็จแล้ว เห็นไหม ฉันเช้า ล้างบาตร เห็นไหม เช็ดบาตรเสร็จแล้วไม่ผึ่งลม ไม่ตากแดดไว้ประมาณสัก  นาที มันมีกลิ่น มันเสียหาย จะเป็นอาบัติไหม ก็ทุกกฏ ทุกกฏ หมายว่าชั่ว ถ้าเราไม่ทำถูกต้องนะเขาเรียกชั่วหยาบ ชั่วหยาบคืออาบัติทุกกฏ ภิกษุถ้าทำอะไร สิ่งใดที่ไม่ถูกต้อง เขาเรียกในบาลีนะ เขาบอกว่าอาบัติชั่วหยาบ อาบัติชั่วหยาบ คืออาบัติที่ว่าสิ่งที่ควรทำแล้วไม่ทำ อาบัติชั่วหยาบ อาบัติชั่วหยาบก็อาบัติทุกกฏ ถ้าไม่ผึ่งไม่ทำอะไรก็เป็นอาบัติ แล้วถ้าเอาไปตากแดดเกินเวลาก็เป็นอาบัติ นานเกินไปก็เป็นนะ เหมือนผ้าเลย เรายกข้อนี้ขึ้นมาให้เห็นว่า เห็นไหม ไม่ทำก็เป็นอาบัติ ทำแล้วที่มันผิด ทำหรือที่ไม่สมควรก็เป็นอาบัติ

แล้วตอนนี้ก็ย้อนกลับมาที่โยมแล้ว โยมที่ว่า เราต้องดูแลทรัพย์สินของเราเห็นไหม เราต้องฉีดยาฆ่ามดทุกวันๆ เลย แล้วมดนี่เยอะมาก

เพราะเราดูทางวิทยาศาสตร์นะ ทางสารคดี สิ่งใดโลกนี้ถ้าให้อยู่กันโดยแบบไม่เบียดเบียนกัน อยู่กันธรรมชาติ มดครองโลก มดนี่เยอะมาก แล้วมดสายพันธุ์เป็นหมื่นๆ สายพันธุ์ แล้วมดกับมดมันก็ฆ่ากัน มดรังหนึ่งมันบุกรุกรานมดอีกรังหนึ่งนะ มันแย่ง เหมือนคนรบกันเลย เหมือนชนเผ่าพวกเราแย่งชิงที่ ทำกินกันมดมันก็แย่งที่ทำกินกัน ทีนี้มดมันกิน มันกินพวกมันกันเอง มันทำลายกันเองนะเพราะมันมีหลายสายพันธุ์ สายพันธุ์ที่โหดร้ายกว่า สายพันธุ์ที่มันทำลายกัน

นี่พูดถึงเรื่องมดก่อน แล้วก็เรื่องคน พอเรื่องคนเสร็จ แล้วนะ เรื่องสินค้าของเรา ถ้าสินค้าของเรานะ เราก็ต้องดูแลทรัพย์สินของเราเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าดูแลทรัพย์สินของเราแล้ว นะ สิ่งที่เราทำ เราป้องกัน แต่แต่ที่เราพูด เห็นไหม คนที่ มีสติมีปัญญาทำแล้วมันสลดใจ มันสลดใจแบบว่า เราต้องมี สัมมาอาชีพ แล้วเราก็ต้องป้องกันทรัพย์สินเรา เหมือนกับเรา ไปทำลายชีวิตเขา มันสะเทือนใจนะ ถ้ามันสะเทือนใจ ถ้าใจคน ที่เป็นธรรมมันเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าจิตใจของคนที่มันต่ำจิตใจที่ เขาไม่ได้คิดเขาก็เป็นตามหน้าที่ๆ ก็มันบุกรุกเข้ามา เราก็ทำ

เราจะบอกว่า เราต้องรักษาน้ำใจ รักษาความรู้สึกของ เราที่เห็นว่าผิดชอบชั่วดีให้รักษาไว้ แต่หน้าที่ของเราก็ต้องทำปกป้องเพื่อทรัพย์สินของเราเหมือนกัน ถ้าทำเพื่อทรัพย์สินของเรา ไอ้นี่พูดถึงหน้าที่ของเรานะ แล้วเราจะอธิบายว่า สัตว์ ทั้งหลายมีกรรม สัตว์ทั้งหลายมีกรรม โดยธรรมชาติของเรา เห็นไหม เราไม่รุกรานใคร เราไม่เบียดเบียนใครนะ มีพวกโยม เคยถามเรา ถ้าพูดอย่างนี้นะ แล้วเสือจะอยู่อย่างไรล่ะ เสือ” พวกเสือ พวกนักล่า นก นกที่ต้องกินแมลงเป็นอาหาร นกที่เขากินพืชเป็นอาหาร นก เห็นไหม ที่เขากินแมลงเป็นอาหาร เขาก็ต้องฆ่าตลอดชีวิตเขานะ สัตว์นักล่า สัตว์กินเนื้อ สัตว์กินเนื้อมันก็ต้องล่าเนื้อมันตลอดไป มันถือศีล  ได้ไหม

เราพูดถึงศีล  ศีล  ลูกศิษย์นี่แหละสวนเลย อย่างนี้มันก็เอาเปรียบน่ะสิ

เราบอก เอาเปรียบอะไร

ไอ้พวกเสือมันก็ถือศีล  ไม่ได้” เขาว่านะ

โอ้โฮถาม” เวลาคุยกับโยมมันได้มุมมอง เขาบอกว่า อย่างนี้เสือมันก็ถือศีล  ไม่ได้” ไอ้เราอย่างว่ามันก็แหมหัวมันไว มันก็พลิกกลับไง แล้วทำไมมันถึงเกิดเป็นเสือ ทำไม มันไม่เกิดเป็นวัวเป็นควาย เพราะวัวควายมันกินหญ้า ทำไมมันเกิดเป็นเสือ” 

นี่ไง สัตว์ทั้งหลายมันมีกรรม มันมีเวรมีกรรมต่อกัน เวลากรรม กรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน ไอ้ชาติกำเนิด เรานี่แหละ พอชาติกำเนิดเราเกิดมาแล้ว เราเกิดในสายพันธุ์ใด เราเกิดในภพชาติใด ถ้าเราเกิดในภพชาติใดนะ เราจะบอกว่า มดมันก็มีกรรมของมัน ถ้ามดนะ พูดประสาเราเลย ถ้ามดมันประเสริฐกว่าเรานะ มดมันก็ต้องถือศีล มดมันก็ต้องไปหาอาหารที่มันไม่รบกวนเรา ทำไมมารบกวนเราล่ะ แสดงว่ามดพาล มดไม่ถือศีล มารุกมาทำลายทรัพย์สินเรา

เราจะบอกว่า ถ้าเราทำ เราก็จะคิดว่าเราเป็นผู้ที่กระทำฝ่ายเดียวๆ แต่เราเกิดมา เห็นไหม เราเกิดมาเรามีผลร่วมกัน เขารุกรานเรา เราก็ป้องกันทรัพย์สินของเรา แต่นี่เราพูดให้เห็นว่า สัตว์มันมีกรรม เราเองก็มีกรรม พวกเรามีเวรมีกรรมกันทั้งนั้น แต่เรามีเวรมีกรรมแต่เราเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมา พบพระพุทธศาสนาๆ พระพุทธศาสนาสอนให้มีเมตตาต่อกัน การมีเมตตาต่อกัน สิ่งที่เราเมตตาได้เราก็อยากจะเมตตาใช่ไหม สิ่งที่เราเมตตาแล้วเราจะเอาอะไรกินล่ะเมตตาแล้ว แล้ว ทรัพย์สินของเราล่ะ เมตตาแล้ว เห็นไหม เราก็อยากจะเมตตาแต่เราก็ต้องป้องกันของเรา เห็นไหม เราก็ทำแบบที่ให้มีน้ำใจแบบนี้

เพราะ เพราะเราเคยดูหนังสือกฎแห่งกรรมๆ มันมีอยู่ คนที่เขาตายฟื้นเขามาเล่าให้ฟัง เขามาเล่าให้ฟังแล้วคนเขียน หนังสือ เขาเขียนไว้ไงว่าเขาตายไป เขาเป็นคหบดีนะ คนโบราณ น่ะ คนโบราณมันเป็นเศรษฐี มันมีที่นาเยอะมาก แล้วเขาเป็น คนที่มีธรรมไง คนที่มีธรรมนะ ธรรมดาโบราณนะเขาจะทำนา เขาก็จุดไฟเผา พอจุดไฟเผา มันจะไปเผาพวกสัตว์พวกหนูนาตายมาก

ทีนี้พอคนนี้เขาก็ตายฟื้น เขาตายไป เขาตายไปถึงที่ยมบาล พอเขาตายไปถึงที่ยมบาลนะ แล้วเขาเป็นคนดีไง เขา เป็นคหบดีที่ใจเป็นธรรมมาก แล้วเขาตายฟื้น พอเขาตายไป ตายไปถึงยมบาลเขาก็ไปยืนรอเลยว่าต้องไปตัดสินไง ไอ้พวกหนูนา ที่มันตาย โดนเผาตาย มันมารอเลย พอถึงปั๊บ ยมบาลถามว่า เขาก็เช็กว่าเอ็งทำผิด เอ็งทำดี ทำชั่วอะไรมา เอ็งไม่เคยทำชั่วเท่าไร เอ็งทำแต่ดีมา เอ็งควรจะไปทางที่ดี” ไอ้พวกนี้ไอ้พวก หนูนา ไอ้พวกสัตว์มันไปยืนเฝ้าเลย เขาเผาผมตาย เขาต้อง ชดใช้ เขาเผาผมตาย เขาทำผิด เขาทำไม่ดี

ยมบาลที่เป็นธรรมไง ยมบาลที่เป็นธรรม เขาบอกเขาไม่ได้ทำ เขาทำอย่างไรล่ะ

เวลาเขาทำนะ เขาเป็นคหบดีใช่ไหม ก่อนที่เขาจะเผาไร่เผานาเขานี่ เขาจะเคาะไม้ก่อน ไปนะ สัตว์ทั้งหลายให้ออกไป ก่อน พวกหนูไปนะ เรามีความจำเป็นจะต้องทำการเกษตร เราต้องจุดไฟเผา เขาจะเคาะอย่างนี้ตลอด ถ้าเคาะแล้ว เขาไล่ก่อนไง คือก่อนทำเขาไล่สัตว์ออกไปก่อน ทีนี้สัตว์บางตัวมันดื้อ หรือสัตว์บางตัวที่ไม่รู้ เวลาไฟมันเผาไปแล้วมันก็ตาย ไอ้พวกนี้ มันก็ไปเฝ้า ไปรอ ฉะนั้น มันเรียกร้องว่าจุดไฟเผามันตาย

ยมบาลก็บอก เอาอย่างนั้น เอาฟางมากองไว้ เอา ฟางมากองไว้กองหนึ่งเอาฟางนี่มากองไว้ แล้วก็ให้บุคคลคนนี้ คหบดีนี่ให้ไปยืนอยู่บนกองฟางนั้น แล้วก็ให้หนูมันถือไม้มาเคาะ ฉันจะเผาฟางนะ ฉันจะเผาฟางนะ ให้ออกไปก่อน” พอถึงเวลา ก็เคาะ ไอ้คหบดีก็ลงจากกองฟางนั้นไป แล้วไอ้หนูนาก็จุดฟาง นั้นไป

นี่คนที่เขาตายฟื้นเขามาเล่าให้ฟังอย่างนี้ ถ้าเจตนา เห็นไหม โดยเจตนาเขาเจตนาดีนะ เขา ความจำเป็นของเขา เขาต้องทำกสิกรรมของเขา แล้วเขาต้องจุดไฟเผานาของเขา เราจะบอกว่าคนที่คิดดี คนที่มีเจตนาที่ดี จะทำสิ่งใดที่เป็นคุณงามความดีของตน กรรมคือการกระทำ แล้วพอมันทำไป ไอ้พวก หนูนา ไอ้พวกสัตว์ที่อยู่ในนั้น พวกดื้อ พวกที่เห็นแก่ตัว พวกที่ จะเอาเปรียบไง บอกว่าเขามาไล่ที่ฉันๆ นี่ที่ของฉัน ฉันไม่ยอมไป พอเจอไฟเข้าไปมันตายหมดเลย แค้น ผูกอาฆาตไปรออยู่ที่นั่น

เวลาคนนี้ตายไป อันนี้เราอ่านเจอในกฎแห่งกรรม แล้วพออ่านเจออันนี้ฝังใจมาก ฝังใจ เห็นไหม ฝังใจเพราะอะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่นามธรรม สิ่งที่มันเป็นความรู้สึกนึกคิดมันมีผล สิ่งที่อย่างที่เรามานี่ เรามีเจตนาทำบุญกุศล เรามีการทำคุณงามความดี เห็นไหม สิ่งที่เป็นนามธรรม มันข้ามภพ ข้ามชาติไปจองล้างจองผลาญกันที่พญายมนั่น สุดท้ายแล้วผู้ที่เป็นธรรมก็ตัดสิน ถ้าอย่างนั้น ไอ้หนูมันยังพาลอยู่ มันไม่ยอม ก็จุดไฟเผามันตาย

อ้าววิทยาศาสตร์ ก็ต้องตอบแทนกันด้วยวิทยาศาสตร์ อย่างนั้นไปเอาฟางมากองไว้ แล้วให้จิตดวงนี้ไปยืนบนกองฟางนั้น แล้วให้หนูนา เอ็งเคาะไม้นะ ว่าเอ็งจะจุดไฟนั้น แล้วบอก ให้เขาไปก่อน แล้วเอ็งก็จุดไฟไปซะ จุดไฟอะไร จุดไฟเผาความทิฏฐิมานะของตน ทิฏฐิมานะของตนว่าตนเองตายเพราะฝีมือของเขาสุดท้ายแล้วนะ แล้วก็มาจุดไฟเผา ก็เผาไอ้ทิฏฐิมานะ ที่ฝังใจของตนอยู่นั่นไป ได้ล้างกันไป จบ แต่คหบดีนั้นไม่มี ผลกระทบอะไรเลย คนอื่นไม่มีผลกระทบอะไรเลย

ย้อนกลับมามด นี่ไง เราถึงบอกว่า ถ้าเขาบอกว่าเขามีความทุกข์ใจอยู่ทุกวันเลย เพราะหนูจนปัญญาไม่รู้จะทำอย่างไรจริงๆ แล้ว เพราะเราต้องรักษาทรัพย์สินของเรา” 

ไอ้เรื่องนี้ทำอย่างนี้เรื่องนี้ถูกต้องนะ แต่แต่สิ่งที่ว่าเราทำด้วยความเมตตาทำด้วยความเมตตาคือเราป้องกัน คือเราไม่ได้รุกราน เราป้องกัน แล้วเราทำด้วยเจตนาที่ดี ไอ้เจตนาที่ดี ความดีเจตนาที่ดีมันไม่ทำให้จิตใจคนเรามันตกต่ำไปได้แต่ถ้า เราทำด้วยความอาฆาตแค้น ไอ้มดๆ เอ็งมาทำลายสมบัติฉัน” ทำด้วยความอาฆาตมาดร้าย ทำด้วยความผูกโกรธ มันให้ผล อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเรารักษาน้ำใจของเราตรงนี้ได้

คนเรามันเกิดมา เห็นไหม สัตว์มันมีกรรมทุกคน เรา เกิดมา เห็นไหม เราต้องปากกัดตีนถีบ เราต้องมีอาชีพ เราต้องหาปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต ทีนี้ดำรงชีวิต เห็นไหม ถ้ามันมีสติปัญญามันก็จะพาชีวิตของเราไม่ให้มันตกไปในที่ต่ำ แล้วถ้าไม่ให้ตกไปในที่ต่ำ เห็นไหม แล้วเราพยายามสร้าง เราพยายามทำคุณงามความดี คนทุกข์คนจนก็ทำความดีแบบคนทุกข์ คนจน คนชั้นกลางก็ทำความดีแบบคนชั้นกลาง เศรษฐีก็ทำ คุณงามความดีเป็นเศรษฐี สิ่งที่จะเป็นความดีความชั่วมันเป็นที่น้ำใจ มันเป็นที่ความนึกคิด ไอ้สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เราแสดงออกนั้นมันอยู่ที่สถานะไง สถานะของเราถ้าเป็นคนทุกข์คนจนเราก็ ทำด้วยสถานะ เห็นไหม

ดูสิ ในพระไตรปิฎกเอามาพูดทุกวันเลยล่ะ พระสารีบุตรระลึกถึงทุคตะเข็ญใจที่ตักบาตรแค่ทัพพีเดียว ข้าวทัพพีเดียว ทำให้ทุคตะเข็ญใจนั้นได้มีโอกาสบวชพระด้วย แล้วพระสารีบุตรเป็นอาจารย์เสียเอง สอนเองจนเป็นพระอรหันต์ ข้าวทัพพีเดียวนะ แต่เพราะเขาเป็นคนทุกข์คนจน เขาไม่มีความสามารถทำได้มากกว่านั้น เขาทำตรงนั้นไง คนที่มีน้ำใจต่อกัน คนที่มีสติปัญญาต่อกัน ความดีกับความดีมันเข้ากันนะ มันจะเป็นประโยชน์อย่างนั้นไง

นี่รักษา รักษาอันนี้ เราไปเห็นความคิด ไปเห็นความ รู้สึกนึกคิด รักษาความที่ว่าหนูทุกข์ใจเหลือเกิน เราไม่อยากทำเลย เขาบอกเลยนะ ต้องมาฉีดยาฆ่ามดทุกวันๆ อยู่อย่างนี้ จิตใจมันแบบว่ามันกดดันตัวเอง ถ้าคนมันคิดดีๆ นะ มันกดดัน ตัวเองว่า เราไม่อยากทำความผิดอย่างนี้เลย ไม่อยากทำ ทำไม เราต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ ทำไมเราต้องมาอยู่ตรงนี้

ทีนี้มาอยู่ตรงนี้ปั๊บ เราถึงย้อนกลับ สัตว์มีกรรมๆ มด มันก็ต้องมีกรรมของมัน มันถึงมาเป็นแบบนี้ แล้วมดเฉพาะชุดนี้ ก็มาอยู่แถวนี้ใช่ไหม มดที่เขาอยู่ในป่าในเขา มดที่เขามีความ อุดมสมบูรณ์ของเขา เขาก็มีความสุขของเขานะ ไอ้มดที่มันต้องปากกัดตีนถีบ มันต้องหาเลี้ยงชีพของมัน มันก็มาอยู่ใกล้ๆ ร้านเรานี่ มันก็จะมายุ่งกับเราอยู่นี่ นี่ไง สัตว์มันมีกรรม สัตว์มีกรรม เราก็มีกรรม เราก็เกิดมาเห็นไหม เราก็ต้องมีอาชีพ เราก็ต้อง ทำหน้าที่การงานของเรา ถ้าทำหน้าที่การงานของเรา เห็นไหม เราอยากให้รักษา ให้รักษาสติ ให้รักษาสติปัญญาอย่างนี้ไว้แล้วการกระทำ เราพยายามให้มันเบาบางลง สิ่งที่เบาบางลง ให้มันแบบว่าไม่มารบกวนเรา ถ้ามันเป็นไปได้นะ

แต่อย่างที่ว่าสัตว์มีกรรมๆ เรามีเวรมีกรรมต่อกัน แล้วมีเวรมีกรรมต่อกันเห็นไหม ตรงนี้ถ้ามันพัฒนาแล้ว มันทำให้สะอาดแล้ว อย่างเช่น ตลาด เห็นไหมถ้าเขามีการป้องกัน เขามีทำความสะอาดแล้ว ไอ้พวกมดพวกสัตว์มันก็จะน้อยลงเบาบางลง นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่เราจะรักษาเฉพาะที่ของเรา แต่รอบข้างเขาไม่รักษามันก็กระทบกระเทือนกัน เห็นไหม มนุษย์เป็นสัตว์สังคม สัตว์สังคมมันมีคนคิดดีและคนคิดที่ไม่ดี มันอยู่ ในสังคมเดียวกัน ถ้าเราอยู่ในสังคมนั้น

นี่พูดถึงเรื่องนี้ก็ย้อนกลับมามงคลชีวิต เกิดในประเทศอันสมควรไง เกิดมาในประเทศที่มีคนมีความคิดมีมุมมองที่ ใกล้เคียงกัน มีความเห็นเหมือนกันนะสังคมนั้นก็สงบร่มเย็น เกิดมามีความคิดที่ขัดแย้งกัน มีการกระทบกระเทือนกันมัน มาจากตรงนี้

แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าห้ามญาติๆ ญาติข้างพ่อข้างแม่แย่งน้ำทำนากันน่ะ พระพุทธรูปปางห้ามญาติ พระพุทธเจ้ายังต้องไปห้ามญาติเลยญาติข้างพ่อกับญาติข้างแม่นะ เวลากรรมมันให้ผล สัตว์มันมีกรรมแบบนี้ เราเป็นชาวพุทธ ใช่ไหม เราก็มีศรัทธา เราก็เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ-เจ้าใช่ไหม เราก็ว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โอ๋จะไม่มีผลกระทบในทางลบเลยจะมีแต่เรื่องดีๆ ไปอ่านพระไตรปิฎกสิ พระพุทธเจ้าโดนรังแกโดนเขากลั่นแกล้งกลั่นแกล้งเพราะอะไร กลั่นแกล้งเพราะเป็นศาสดา เป็นผู้บุกเบิก เป็นผู้ที่เผยแผ่ศาสนา

พวกพราหมณ์ พวกที่ลัทธิเดิมๆ เขามีลาภ ลาภสักการะ ของเขา เวลาศาสนาพุทธมาปฏิเสธหมดเลย การบูชายันต์ ปฏิเสธหมดทั้งนั้น ไอ้สิ่งที่ให้กันไม่มีเหตุผล เวลาปฏิเสธไปแล้วมันก็ไปทำลายลาภสักการะของเขา เขาทำลายล้างทั้งนั้น เวลาเขาทำลายล้าง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนลูกศิษย์ไว้ ภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอโดนโลกธรรมรุนแรงนะ ให้นึกถึงเรา ให้นึกถึงเรา เพราะ เพราะเราโดนแรงกว่า เวลานึกถึงเราแล้วหายหมด เลย... ไม่ใช่เพราะท่านโดนรุนแรงกว่าพวกเราเยอะนัก เพราะท่านเป็นศาสดาของเรา ท่านเป็นผู้รับผิดชอบ แล้วท่านวางศาสนานี้ไว้

แล้วด้วยความเคารพบูชาเราก็คิดว่า องค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าเราประเสริฐ เพราะเราศึกษามา เราศรัทธา มาก แต่ความจริงแล้วไอ้ฝ่ายตรงข้าม ไอ้พวกมิจฉาทิฏฐิ ไอ้พวกที่คนพาลมันทำลาย ทำลายล้างทั้งนั้นเลย แล้วก็บาปกรรมนะ แม้แต่คนใน เห็นไหม ดูเทวทัตสิ จะมาแย่งชิงการปกครองสงฆ์ สุดท้ายธรณีสูบไปต่อหน้าต่อตาเลย ไอ้คนที่เวลามันคิดตรงข้ามแล้วจะมาแย่งชิง มันทำลายพวกนั้นมีแต่เวรแต่กรรม

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ไปโต้ไปตอบเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำแต่คุณงามความดี ทำ คุณงามความดีเพื่อเป็นคติเป็นตัวอย่างของเราไง ถ้าเราเป็น ชาวพุทธ เราเห็นว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านยังโดน ผลกระทบอย่างนั้น ฉะนั้น สัตว์มันมีกรรม เราก็มีกรรม สัตว์ ก็มีกรรม ตั้งสติของเราเนี่ยไว้ ตั้งสติของเราไว้ ตั้งคุณงาม ความดีของเราไว้ สลดสังเวชกับการเกิด สลดสังเวชกับการ กระทำ สลดสังเวช แต่สลดสังเวชแล้ว แต่สิ่งที่เป็นสินทรัพย์ สิ่งที่เป็นสิ่งเลี้ยงชีพเรา เราก็ต้องทำ เราก็ต้องดูแลรักษา นี่พูดถึงการรักษาหัวใจเรา

นี่พูดถึงว่า เขาพูดเลยนะ เราอ่านทีแรก โอ้คำถามนี้กูไม่ตอบหรอก เพราะอะไร เพราะหนูรู้อยู่แล้วหลวงพ่อจะตอบอย่างไร มึงรู้อยู่แล้วมึงยังเขียนมาถามเนาะ ร้ายกาจๆ แต่ประสาเรานะ เขาเรียก ธมฺมสากจฺฉา การคุยธรรมะกันมันก็ เป็นประโยชน์กว่า มันคุยธรรมะนะ สัจธรรมมันก็เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เราตอบเท่านี้เนาะ นี่พูดถึงเรื่องมด

มันมีไปทั่วนี่แหละเรื่องมด ยกตั้งแต่ทีแรก ตั้งแต่เรื่องพระ พระเนี่ย ของของสงฆ์ต้องดูแลต้องรักษา ของของสงฆ์ที่ ใช้แล้วไม่รักษาเป็นอาบัติ แล้วของของสงฆ์ เห็นไหม เราไป เราไปที่วัดอุดมสมพรเมื่อก่อน โอ้โฮไปกับครูบาเดช ไม้คนละอันเขี่ยปลวก ปลวกขึ้นเต็มไปหมดเลย เพราะพระไม่มีไง พอหลวงปู่ฝั้นเสียแล้วพระก็น้อยลง เวลาเราไปงานครบรอบ ถือไม้กันคนละอันนะ มันสังเวช เราเห็นพระรุ่นพี่เขาทำ เราก็ ช่วยเขาทำ เราช่วยเขาเขี่ย เจตนาคือเขี่ยรังปลวกออกไม่ให้โดนปลวก ไม่ให้โดนแต่โดน อย่างไรมันก็พลาดจนได้แหละ แต่ก็ทำนี่ทำมาอย่างนี้จริงๆ

เราถึงมาคิดถึงหลวงตาไง หลวงตาท่านก็เห็นมาตลอด เพราะหลวงตาท่านก็เคารพหลวงปู่ฝั้น หลวงตาท่านก็ไปดู ไปเยี่ยมหลวงปู่ฝั้นประจำ มันเห็นสภาพนั้นแหละ เวลาวัดป่าบ้านตาดท่านถึงไม่ยอมสร้างอะไรเลยไง พอสร้างแล้วนะ พอหมดผู้นำนะ แล้วผู้ที่อาศัยมันน้อยลง เป็นภาระไปหมดเลย มันเหมือนกับเราไปสร้างไว้ให้ปลวกอยู่ เราก็ดูแลมาอย่างนั้น แต่นี้พอโยมมาพูดอย่างนี้ เราอยู่ในสภาพนั้น  มีการศึกษา ธรรมวินัยๆ ได้อ่านได้ศึกษาได้ค้นคว้ามาว่าเป็นหน้าที่แล้วก็มีพระรุ่นพี่ พระเขาดูแลรักษา เราก็ทำตามเขาไปด้วย เพราะอะไร

การศึกษาคือธรรมวินัย เราได้ศึกษามาแล้ว

มีพระรุ่นพี่ที่ท่านทำเป็นแบบอย่าง เห็นทั้งตำรา เห็นทั้งการกระทำไง เราก็ทำตาม ทำตามไปเลย แล้วพอทำตามไป ทีนี้พอพวกเรา เห็นไหม คนก็แปลกนะเวลามาบวชพระ ถ้าคนไม่เคยบวชพระเลยก็ยังงงนะ เอ๊จะมีคนใส่บาตรหรือ

เวลามาบวชแล้วมันจะรู้จะเห็น ถ้าลงไปทำแล้วมัน อีกเรื่องหนึ่งเลย แต่ถ้ายังไม่ได้ทำก็ยังสงสัย แล้วพอสงสัยแล้วก็คิดไปเรื่อย ก็อย่างที่ว่าพระพุทธเจ้าต้องสุดยอดอย่างนู้นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าสุดยอดจริงๆ แต่แต่พวกกองทัพมารมันก็สุดยอด จริงๆ มันก็จองล้างจองผลาญจริงๆ มันก็ทำลายกันมาทั้งนั้น สัตว์มันมีกรรมกรรมของสัตว์ จบ

ถาม : เรื่อง รู้สึกเศร้าและอ้างว้างลึกๆ จะแก้ไขอย่างไรดีคะ

กราบเท้าหลวงพ่อเจ้าค่ะ

ตลอดเวลาที่ผ่าน ได้พยายามทำความสงบของใจ แต่ก็ล้มเหลวมาตลอดพยายามกำหนดพุทโธ แล้วใช้ปัญญาอบรมสมาธิก็ล้มลุกคลุกคลาน ท้อใจมากในระหว่างวันบางครั้งรู้สึกเศร้าและอ้างว้างลึกๆ จะแก้ไขอย่างไรเจ้าคะ

ตอบ : คำว่า แก้ไข” เราเกิดเป็นมนุษย์ โดยธรรมชาติของ มนุษย์นะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์โดยธรรมชาติของมนุษย์มีกิเลส คำว่า มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก” กิเลสอย่างละเอียดที่สุด

ในประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านไปธุดงค์ด้วยกัน ไปธุดงค์ด้วยกันมันก็รักกันผูกพันกันใช่ไหม เวลามันจะพลัดพราก ต่างคน ต่างต้องแยกธุดงค์กันไป อู้ฮูยมันอาลัยอาวรณ์ กิเลสตัว ละเอียด การพลัดพราก ยังไม่ได้เสียอะไรกันไปนะ แต่แค่ แยกทางกัน อู้ฮูยมันเจ็บมันปวดนะ

นี่พูดถึง ในสังคมของมนุษย์นะทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจว้าเหว่ ถ้ามันมีกิเลสมันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น แต่ทีนี้ถ้า กิเลสมันหยาบนะ กิเลสมันหนา เวลากิเลสมันหนามันก็ไปคิดเรื่องความโลภ ความโกรธ ความหลงไง พูดถึงความเจ็บช้ำน้ำใจกัน ไอ้นั่นกิเลสอย่างหยาบ แล้วถ้ากิเลสที่มันกิเลสหนาๆ โอ๊ยมันยิ่งทำลายล้างกันไปหมดเลย กิเลสมันเป็นชั้นเป็นตอนเข้ามา ไง แต่เวลาโดยธรรมชาติโดยสิทธิ์ ความเป็นมนุษย์โดยสิทธิ์ ของจิตแต่ละดวงทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจทุกข์ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดทั้งหมดทุกดวงใจไม่ยกเว้น ไม่มี โดยข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นไง

แต่พวกของเรามันเป็นคนที่จิตกระด้างไง จิตกระด้าง จิตที่มันหยาบไง มันมีเยอะแยะไป เคยมาหาเราบอกว่า ทุกข์ไม่มี ไม่รู้จักทุกข์” เพราะเขาเป็นลูกเศรษฐีตอนที่เขามาหา เรานะ เขาเป็นลูกเศรษฐี แล้วเพื่อนเขาคุยกันเขาบอกว่าเขาไม่มีทุกข์ แล้วเขาเถียงกันแล้วไม่ลงก็พามาหาเราไง ตอนนั้นมันยัง เป็นวัยรุ่นอยู่ ถ้าเป็นตอนนี้ก็ไล่ออกเลย ไม่ต้องมายุ่ง ตอนนั้น เป็นวัยรุ่นอยู่ เขามาถึงเขาบอก ไม่ทุกข์ๆ” มันเป็นไปได้อย่างไร คนเราขับถ่ายปวดหนักปวดเบา ไม่ได้ขับถ่ายก็ทุกข์แล้ว ลองมึงปวดหนักปวดเบานะ แล้วไปอยู่ที่ชุมชนไม่มีที่ขับถ่ายนะ ให้มึง นั่งอยู่นั่น มึงทุกข์ไหม แล้วคนเราไม่เคยปวดหนักปวดเบาหรือ มันเป็นไปได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้หรอก

ทุกข์นี้เป็นอริยสัจ ทุกข์นี้เป็นความจริง จะร่ำรวยขนาดไหน จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหน ทุกข์ทั้งนั้น ไม่มียกเว้น ไม่มี พูดภาษาคนพาล พูดข้างเดียวไง แต่ความจริงมันเป็น แบบนั้น ถ้าความจริงมันเป็นแบบนั้นนะ เวลาเราคุยกับเขาอธิบายกับเขาแล้วเขาต้องยอมรับ เขาก็ยอมรับมันเป็นไปได้อย่างไร คนเราเพราะถ้าศึกษาพระไตรปิฎกนะ ทุกข์คือความ ทนอยู่ไม่ได้ ใครทนอะไรได้บ้าง นั่งอยู่นี่ห้ามลุก ใครทนได้ ทุกข์คือความที่ทนอยู่ไม่ได้ กิริยานั่ง กิริยาเดิน กิริยายืนกิริยาเดียวอยู่ไม่ได้ ถ้าการอยู่ไม่ได้มันต้องเปลี่ยนแปลง

การเปลี่ยนแปลงนั่นคือการบรรเทาทุกข์ ทุกข์มันเป็นอริยสัจ ทุกข์มันเป็นความจริง แล้วเอ็งบอกว่าไม่ทุกข์ ไม่ทุกข์เพราะเอ็งเปลี่ยนแปลงจนเคยไง เอ็งพลิกแพลงจนเคยไง ประสาเรานะ เอ็งกะล่อนจนเคยไง เอ็งก็ว่าเอ็งไม่ทุกข์ไง แต่ถ้าพูด ความจริงทุกข์ไหม ทุกข์ทั้งนั้น นี่พูดถึงว่า ทุกดวงใจว้าเหว่ ถ้าทุกดวงใจว้าเหว่แล้ว นี่มันโดยธรรมชาติที่ต่างคนต่างที่รู้กัน อยู่แล้ว ถ้าต่างคนต่างรู้อยู่แล้วย้อนกลับมาที่คำถามนี่ไง

คำถามว่า เขาพยายามทำความสงบของใจเข้ามา แต่มันล้มเหลว พุทโธอย่างไรก็ล้มเหลว เวลาใช้ปัญญาอบรมสมาธิ ก็ล้มเหลว

คำว่า ล้มเหลว” เพราะว่านี่คือวิธีการ วิธีการที่จะ เติมเต็มหัวใจของเราให้มีความสุขบ้าง ถ้าวิธีการที่เติมเต็มให้ หัวใจมีความสุขบ้าง วิธีการนั้นเราทำแล้วเราไม่ประสบความสำเร็จ เห็นไหม มันก็เลยกลายเป็นทุกข์ซ้อนทุกข์ไง

ทุกข์หนึ่งคือทุกข์เพราะจิตใจเราว้าเหว่อยู่แล้ว ทุกข์เพราะเรามีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจอยู่แล้ว แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า วิธีการที่จะ ทำจะถมให้มันเต็ม วิธีการที่จะทำให้จิตใจเรามั่นคงให้มันห่างจากทุกข์ เราก็จะพยายามทำของเรา แต่พอเวลาทำแล้ว เห็นไหม มันทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ มันทำแล้วมันไม่สมความปรารถนา มันก็เลยมีตัณหาความทะยานอยาก มีความทุกข์ซ้อนเข้ามาอีกไง พอมันทุกข์ซ้อนเข้ามาอีก เราก็ยิ่งทุกข์เข้าไปใหญ่เลย

แต่ถ้าเรามีสติปัญญา โดยข้อเท็จจริงคือว่ายอมรับความจริง ยอมรับความจริงว่ามันเป็นแบบนี้ นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถึงเห็นโทษไง เห็นโทษถึงการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นโทษมันอยู่แล้ว ไง พอเห็นโทษแล้วถึงมาอบรมสั่งสอนพวกเราไง ทีนี้อบรม สั่งสอนพวกเรา เพราะเราศึกษาทางวิชาการ พอได้สัมผัส เรา ได้รู้ไง เราถึงได้เห็นว่าอ๋อมันทุกข์จริงๆ ไง พอเห็นทุกข์จริงๆ แล้วเราถึงพยายามหาวิธีการแก้ทุกข์อันนั้นไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชี้ถึงบอก นี้คือทุกข์นะ นี้คือเหตุแห่งทุกข์นะนี้คือวิธีการดับทุกข์นะ วิธีการดับทุกข์นะ นี่ไง นิโรธคือการพ้นทุกข์นะ นี่ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ไง นี่คืออริยสัจ นี่คือคำสั่งสอนขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้ามีคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้า เราถึงรู้ถึงวิธีกำจัด วิธีบรรเทามันไง เราถึงพยายามจะมาบรรเทา บรรเทาทุกข์อันนี้ให้มันเบาบางลง แล้วพอมันบรรเทา เราพยายามแล้วเราไม่ได้ เราก็เลยล้มเหลวอยู่นี่ไง เราก็เลย โอ้ทำแล้วไม่ได้ๆ มันก็เลยทุกข์ซ้อนทุกข์ไง

ฉะนั้น เราก็ย้อนกลับมาที่นี่ ย้อนกลับมาตั้งสติ ย้อนกลับมาถึงความเกิดเป็นมนุษย์ นี่คืออริยทรัพย์แล้ว ย้อนกลับมาการเกิดของมนุษย์ แล้วเกิดแล้วเรายังเป็นคนที่มีบุญ มีบุญคือได้นับถือพระพุทธศาสนาแล้วเรายังมีวาสนาอีกนะ มีวาสนาขึ้นมา เราอยู่ในสังคมของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไง เราจะบอกว่าคนที่คิดอย่างนี้ คนที่ทำอย่างนี้คือคนที่มีโอกาสไง คนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เหมือนกัน แต่เขาไม่มีโอกาส เห็นไหม เขาไม่เคยศึกษาพระพุทธศาสนา เขาไม่เคยศรัทธา ไม่เคยได้ค้นคว้าสิ่งใดเลย เขา ก็ยังจมปลักกับความคิดของเขาอยู่อย่างนั้นไง ว่าเขาจะมีความ สุขของเขา เขาแสวงหาของเขา แล้วเขายังทุกข์อย่างนั้น นั่นคือคนไม่มีโอกาส คนขาดโอกาสไง

แต่ของเรา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ไง เรามาพบพระพุทธ-ศาสนา แล้วเราได้สัมผัส เราได้สัมพันธ์กัน เราได้มีความคิดกัน เห็นไหม เราได้มีปัญญา เราได้คิดขึ้นมา เราเป็นคนที่มีโอกาสไง แค่เรามีโอกาส เราก็ดีกว่าเขาแล้ว แล้วคนมีโอกาส แต่แต่พอ มีโอกาสแล้วเราทำแล้วมันไม่ได้ดั่งใจไง ไม่ได้ดั่งใจ เพราะอะไร ไฟไหม้ฟาง ไฟไหม้ฟางแล้ว เห็นไหม จับจดไง ลงทุนน้อย จะเอาผลตอบแทนมากๆ ไง

แต่ถ้าเราทำประสาเรานะ เราลงทุนประสาเรา ลงทุน คือปฏิบัติบูชา ถ้าเราลงทุนแล้ว ลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนก็ สาธุ เพราะเราทำแล้วได้ผล ถ้าเราลงทุนแล้วมันยังไม่ได้ผล ลงทุน นี่ไง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาเงินมาได้บาทหนึ่ง ใช้ทำธุรกิจหนึ่งสลึง เลี้ยงดูพ่อแม่ของเราหนึ่งสลึง ใช้ชีวิตประจำวันหนึ่งสลึง เหลืออีกหนึ่งสลึงนั้นฝังดินไว้ ฝังดินไว้คือการทำบุญ ฝังดินไว้คือฝังในหัวใจเราไว้

นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติบูชาๆ ปฏิบัติจนเป็นจริต เป็นนิสัยไง ทาน ศีลภาวนา มีทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลได้บริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับ ทำสมาธิได้หนหนึ่ง แล้วเราพยายามทำสมาธิอยู่นี่ นี่ไงปฏิบัติบูชา ถ้ามันประสบความสำเร็จ เห็นไหม มันจะได้บุญขนาดไหน ทำบุญร้อยหนพันหน ถือศีลอีกร้อยหนพันหนบวกเข้าไป แล้ว ถ้าทำสมาธิขึ้นมามันมีผลมากกว่าสิ่งที่เราทำมา

ฉะนั้น เราลงทุนไปแล้ว ถ้ามันได้ผลตอบแทนมามันก็มหาศาล แต่ยังไม่ได้ผลตอบแทนมาเราก็ลงทุนโดยการภาวนาของเราไง ภาวนาปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ถ้าบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่มันมาสะกิดใจ เห็นไหม ปฏิบัติแล้ว ทำแล้วมันทุกข์มันยากมันจะเบาบางลง เอ้อเราปฏิบัติแค่ไฟไหม้ฟาง เราปฏิบัตินี้มันแค่ฉาบฉวย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสลบถึง  หน เวลา หลวงปู่มั่นก็สลบถึง  หน ครูบาอาจารย์ท่านปฏิบัติกัน เดินจงกรมจนทางเป็นร่อง” ถ้ามันคิดได้อย่างนี้นะ มันก็คิดบวกไง ไอ้ที่ว่าเศร้าลึกๆ เหงาลึกๆ มันก็จะเบาบางลง

แต่ถ้ามันเราก็รู้อยู่แล้วเหมือนคนเป็นโรคไปหาหมอเลย หมอเขาบอกเป็นโรคไอ้นั้นๆ เขาบอกไว้ให้รักษา เขาไม่ได้บอกไว้ ให้ตกใจ แหมพอหมอบอกล่ะช็อกหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน เราปฏิบัติของเรา เราปฏิบัติของเรา ปฏิบัติเพื่อรักษาเราไม่ใช่ปฏิบัติแล้วล้มลุกคลุกคลาน ทำเหมือนหมอบอกเลยว่าเป็นโรคร้ายแล้วช็อกเลย ถ้าหมอเขาบอกว่าเป็นโรค เป็นโรคเราก็รักษาไปสิ

นี่ก็เหมือนกัน เรามีกิเลสไง เราก็พยายามประพฤติปฏิบัติของเรา พยายามสร้างสมบุญญาธิการของเรา ย้อนกลับไป พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านทำมาๆ ท่านเสียสละขนาดไหน เพราะมันเสียสละขนาดนี้มันถึงมีบุญแห่พระเวสกันไง มีบุญแห่พระเวสมีต่างๆ เขาเป็นวัฒนธรรม ประเพณีของเขาตอกย้ำของเขาให้เขาสร้างสมคุณงามความดี ให้สร้างสมบุญญาธิการขึ้นไป เพื่อต่อไปจะปฏิบัติได้อย่างเราไง

ไอ้เราเกิดมาเป็นนักปฏิบัติแล้ว พุทโธก็ล้มเหลว ปัญญาอบรมสมาธิก็ล้มเหลว ทำสิ่งใดก็ล้มเหลว เศร้าอยู่เนี่ย เศร้าลึกๆ” 

เอ็งยังไม่เคยทำบุญแห่พระเวสเลย เอ็งยังไม่ได้สร้าง บุญญาธิการเลย อันนี้ไม่ใช่พูดให้ทำนะ เราพูดให้เห็นถึง วัฒนธรรม แล้วการสั่งสมบารมี นี่ไง พระอรหันต์ต้องแสนกัป พระพุทธเจ้าต้อง  อสงไขย  อสงไขย ๑๖ อสงไขย มันมีพื้นฐานมา แต่พื้นฐานนี้มันมาแต่อดีต เราจะรู้ได้อย่างไร ว่า เราได้สร้างคุณงามความดีกันมามากน้อยแค่ไหน

ฉะนั้น ถ้าเรามีสติมีปัญญาระลึกถึง ถึงพระพุทธศาสนา เรามีสติปัญญาถึงการค้นคว้าแล้ว แสดงว่าเรามีบุญกุศลแล้ว ถ้าไม่มีบุญกุศลมันไม่คิดแบบนี้ มันคิดโต้แย้ง พอมันคิดโต้แย้งแล้วนะ มันยังไปเถียงกันปากเปียกปากแฉะนะ เวลาเถียงกันเรื่องศาสนา เพื่อนกันห้ามคุยเรื่องศาสนากับเรื่องการเมือง ถ้าคุย เดี๋ยวมันทะเลาะกัน นี่ไง มันจะไปโต้แย้งกันปากเปียกปากแฉะ อยู่นู่นน่ะ มันยังไม่เหมือนเรา เราไม่โต้แย้งกับใครทั้งสิ้น เข้าทางจงกรม ฝึกหัดนั่งสมาธิ นี่ไง เราพัฒนากว่าเขา ถ้าใจมันพัฒนา กว่าเขามันต้องมีที่มาที่ไปทั้งนั้น

นี่ย้อนกลับมาที่ตัวอีกนิดหนึ่ง เวลาเมื่อก่อนที่เราประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ ที่ไหนก็แล้วแต่ เราไปอยู่กับใครก็แล้วแต่ เขาจะมีการเล่นบ้าง การนั่งคุยกันบ้าง เราไม่มี เข้าทางจงกรมตลอด ลงมาศาลาต่อเมื่อฉันข้าวกับฉันน้ำร้อน แล้วจะอยู่โดยเอกเทศ ภาวนาทั้งวันทั้งคืน เพราะเรามาเพื่อภาวนา จะไปอยู่ไหนก็แล้วแต่ ทำอย่างนี้มาตลอด เพราะอะไร เพราะว่าเราทำอย่างนี้มาตลอด ไม่เคยไปสุงสิงกับใคร เว้นไว้แต่งานของส่วนรวม งานของส่วนรวมคืองานข้อวัตร นอกนั้นไม่มีทางนอกนั้นกูมา เพื่อปฏิบัติ อยู่ในทางจงกรม กับนั่งสมาธิอย่างเดียว แต่ไหน แต่ไรมานิสัยเป็นแบบนี้ นี่พูด พูดต่อหน้าเลย

แล้วพรรษา  ถึงพรรษา ๑๐ เราอยู่กับพระ พระ ด้วยกันทั้งนั้น คือพระที่อยู่ด้วยกันเป็นพยานได้ ถ้าพูด พูดอะไรแล้วแต่ออกไป ทุกคนเขาตรวจสอบอยู่ คนฟังมันเช็กอยู่ตลอดเวลา ทำอย่างนี้ นี่เอามาพูดให้เห็นว่า ถ้ามันตั้งใจ มันจงใจมันต้องมาจากจริตนิสัย มาจากความคิดเดิมของตน มาจากอุดมการณ์ คนที่ปฏิบัติมันมาจากอุดมการณ์ของบุคคลคนนั้น บุคคลคนไหนแล้วแต่ที่มาประพฤติปฏิบัติมีอุดมการณ์มั่นคง มีอุดมการณ์ปานกลาง มีอุดมการณ์ที่เหลวแหลก ไม่มีอะไร เป็นอุดมการณ์เลย นั่นน่ะ เห็นไหม นี่  อสงไขย  อสงไขย ๑๖ อสงไขย นี่แหละแสนกัปที่มันทำมา ถ้าไม่มีอย่างนี้มันจะ มีอุดมการณ์มั่นคงอย่างนี้ได้อย่างไร มันมีอุดมการณ์ของมัน มีการกระทำของมัน มันถึงเป็นขึ้นมา

นี่พูดถึงว่า แล้วอย่างที่เราว่า รู้สึกเศร้า รู้สึกหงอยเหงา อ้างว้าง

มี ถ้าคนยังมีกิเลสอยู่มีทุกคน ทุกดวงใจ แม้แต่ปฏิบัติขนาดไหน เวลาหลวงปู่มั่น เห็นไหม เวลาท่านปฏิบัติแล้ว ท่านก็ยังทบทวนไปหาหลวงปู่เสาร์ปรึกษากันอย่างนี้ว้าเหว่ไหม คนไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นมันมืดบอดนะ สิ่งใดที่เรายังไม่รู้ไม่เห็นเรารู้ไม่ได้หรอก แล้วไม่รู้ขึ้นมาเราจะจินตนาการอะไร ถ้ามีครูบาอาจารย์ มีหลักชัยที่เป็นที่พึ่ง เราก็จะปรึกษา แล้วจะแก้ไข

แล้วถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดี เราถึงพูดบ่อยว่าเรามีวาสนา เรามีครูมีอาจารย์นะภูมิใจมาก ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์นะ ประสาเราปากจัดอย่างนี้เถียงกับใครชนะหมดนี่ล่ะ แต่ไปเจออาจารย์ทีไรหงายท้องทุกที มันต้องเจอของจริง เถียงไม่ขึ้นหรอก เถียงไม่ได้เลย เพราะเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น เอาอะไรไปเถียง เอาสิ่งที่ไม่รู้ไม่เห็นไปเถียง เราเองเราก็สงสัยอยู่แล้วเพราะเราไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น แต่ของท่านรู้เห็นแจ่มแจ้ง ชี้แจงได้ชัดเจนไง เถียงไปเถอะไม่มีวันจบหรอก

แต่นี่พูดถึงมันอยู่ที่วาสนาของคนนะ คือฟังเหตุฟังผลหรือไม่ ถ้าไม่ฟังเหตุฟังผลก็เหมือนพวกเราสีข้างถลอกหมดเลย คือกูเอาแต่ความเห็นกูแถเข้าไปๆ ไม่ฟังเหตุผลเขา คนที่เป็น ธรรม เขาไม่เอาสีข้าง เขาเอาสมองคิดพิจารณาถ้ามันเป็นจริง เราไม่มี ต้องหัดให้มันได้ ทำให้มันมี พอมีขึ้นมา เสมอกัน พอ เสมอกัน นี่ถึงแหมวันนี้เปิดเผยความลับ พูดถึงอุดมการณ์ไง นี่พูดถึงจริตนิสัย

ย้อนกลับมาที่ว้าเหว่นี่แหละ คำว่า ว้าเหว่” เพราะเราถึงว่าเขาอ้างว้างลึกๆเขาว้าเหว่ เราจะบอกว่ามันเป็นธรรมชาติของกิเลส ถ้ามันเป็นธรรมชาติของมันแล้ว แต่เพราะเรามีธรรม เราถึงไปรู้ไปเห็นเข้านะ ถ้าเราไม่มีธรรมนะ ถ้ามันว้าเหว่มันอ้างว้างมันก็เหงาใช่ไหม แล้วถ้าเกิดมันเป็นซึมเศร้าต้องไป หาหมอนู่นนะ แต่นี่เพราะเรามีสติมีปัญญา เรารู้ของเราแล้ว เราว่ามันเศร้า มันอ้างว้าง มันว้าเหว่นี่นี่คือผลของกิเลส ผลของกิเลสที่มันคายพิษออกมา แต่ถึงจะเป็นผลของกิเลสแต่เราก็มีสติมีปัญญารู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่าทันมันนะ มันก็กลับมีสติสัมปชัญญะขึ้นมาไง

คำว่า มีสติสัมปชัญญะ” คือไม่คล้อยตามกับความรู้สึกนึกคิดไปจนย้ำคิดย้ำทำจนเป็นโทษกับจิตของเราเองไง แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เห็นไหม มีสติมีปัญญาเราฟื้นตัวขึ้นมา มันก็มีอยู่ เชื้อไขมันก็มีอยู่ แต่ด้วยคุณธรรมอันนี้มันก็ฟื้นจิตใจเราให้มันแช่มชื่นขึ้นมา ให้มันแช่มชื่นมีสติปัญญา ไม่ใช่ คล้อยตามมันไปจนจะต้องไปหาหมอนู่นไง เรามีธรรมโอสถ เรามีคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ให้ฝึกฝน เรากำลังจะฝึกฝนกันอยู่ ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันก็จะเป็นสมบัติของเรา มันเป็นอย่างนี้มันเป็นคุณธรรมที่เข้าไปชำระสะสางกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม

ศาสนาไหนไม่มีมรรค ศาสนานั้นไม่มีผล ดวงใจดวงไหนไม่มีความรู้ ดวงใจไม่มีสติไม่มีปัญญา ไม่สามารถแก้ไขความตกค้างในใจนั้นได้ ถ้าดวงใจมันมีมรรคมีผลขึ้นมา เดี๋ยวมันจะสำรอก มันจะคาย แล้วมันจะเป็นคุณธรรมของตนยืนยันเลยนะ ถ้ายืนยันในใจของตนแล้วจะบอกคนอื่นได้หมดเลย แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ เลยคำถาม รู้สึกเศร้าและอ้างว้างลึกๆ จะแก้ไขอย่างไรคะ” แก้ไขด้วยการตั้งสติ แล้วพยายามฝืนทนกระทำของเราไป กระทำมาก กระทำน้อย ได้ผลได้มากน้อย แค่ไหน คือบุญอำนาจวาสนาบารมีของตน เอวัง