เทศน์บนศาลา

ธรรมมือเปล่า

๙ ส.ค. ๒๕๖๘

ธรรมมือเปล่า

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ แต่ถ้ามันเป็นกิเลสมันเกิดมาขวางโลก ถ้าขวางโลก โลกๆ ไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์เหมือนกันไง

การเกิดมาเป็นมนุษย์ คนคนหนึ่งเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วเขาหูตาสว่างไสวของเขา เขาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ เขาทำคุณงามความดีของเขาจนหัวใจของเขาแจ่มแจ้ง อยู่กับโลกนี้ด้วยความปกติสุข

ไอ้เรามันคนรกโลก เกิดมาแล้วเป็นมนุษย์เหมือนกัน เสร็จแล้วทำสิ่งใดไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น ถ้าไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้น แล้วผลของมันล่ะ คือความทุกข์ ความทุกข์ความยากมันกดดันหัวใจของตน แล้วถ้ามันกดดันหัวใจของตน สิ่งที่โลกจะช่วยเหลือได้เขาก็แค่ปลอบประโลมเท่านั้นน่ะ

แต่ถ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สติปัญญาของเรา ถ้าเรามีสติปัญญาของเรา มันมีสติปัญญา มันมีสามัญสำนึก มันนึกของมันได้ ถ้ามันนึกของมันได้ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์กับเรา ถ้าเป็นประโยชน์กับเรา เห็นไหม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

มโนกรรมๆ สำคัญที่สุด มโนกรรมๆ ความรู้สึกนึกคิดมันหยุดของมันไม่ได้ไง มันเกิดของมันตลอดเวลา แต่ถ้ามีสติมีปัญญาเท่าทันมัน พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มันปกติสุขของมันน่ะ ถ้ามันปกติสุขของมัน เราจะเริ่มต้นทำคุณงามความดีต่อเนื่องไปจะทำอย่างไร ทำไม่เป็น ทำไม่ได้ มันสุดวิสัย

แต่ถ้ามีวาสนานะ เราจะศึกษาค้นคว้ามา ถ้าศึกษาค้นคว้ามา เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนเรื่องอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์

แล้วทุกข์มันมาจากไหนล่ะ

ทุกข์มันมาจากอวิชชา พญามาร

แล้วเราจะดับ จะดับมันด้วยอะไร

เวลาจะดับ ดับด้วยทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการคือมรรค ๘

แล้วมรรค ๘ เป็นอย่างไรล่ะ

ศาสนาเจริญรุ่งเรือง เราจะไปที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าพระพุทธศาสนานะ จะมีกงล้อธรรมจักร นั่นน่ะมรรค ๘ มรรค ๘ เป็นกงล้อธรรมจักรใช่ไหม

ทางโลก เวลาโลกเจริญๆ ขึ้นมา เวลาคิดถึงวงล้อได้ อุตสาหกรรมต่างๆ เกิดขึ้น ตั้งแต่ล้อเกวียน รถ เกิดการเจริญเติบโตขึ้นมาทางอุตสาหกรรม เกิดขึ้นมาให้โลกเจริญรุ่งเรือง เรื่องโลกๆ ไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ล้อ ล้อธรรมจักรมันบดบี้ อาสวักขยญาณทำลายอวิชชา เวลาทำลายอวิชชา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ไง มารสิ้นไปจากหัวใจดวงนั้น แล้วมารสิ้นไปจากหัวใจดวงนั้น มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระธรรมเท่านั้น รัตนะสอง ถ้ารัตนะสอง มันก็เป็นสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

ผู้ที่ตรัสรู้เองโดยชอบ มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าตรัสรู้เอง ค้นคว้าเอง การกระทำเองไง แต่จะอบรมบ่มเพาะ จะสอนใคร ใครจะเข้าใจได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทอดธุระเลย

เวลาเล็งญาณๆ อุทกดาบส อาฬารดาบส เพราะไปศึกษาค้นคว้าขึ้นมา รู้จักเขา ต้องมีพื้นฐานระดับนี้ เขาจะมีความสามารถจะรู้ธรรมอันนี้ได้ เล็งญาณ เขาก็ตายไปเสียแล้ว ตายไปเสียแล้วเขาก็ไม่มีโอกาสไง ไม่มีโอกาส

เวลาต่อไป ต่อไปก็ปัญจวัคคีย์ เพราะอะไร เพราะปัญจวัคคีย์อุปัฏฐาก เคยอยู่กับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา ๖ ปี คำว่า ๖ ปี มันรู้ช่องทาง รู้แนวทาง ว่ามีความสามารถมากน้อยขนาดไหน

เวลาแสดงธัมมจักฯ ยังได้พระอัญญาโกณฑัญญะองค์เดียวเท่านั้น อบรมบ่มเพาะจนเป็นพระโสดาบันทั้งหมด แสดงอนัตตลักขณสูตร เป็นพระอรหันต์ขึ้นมา ๖ องค์ พระยสะอีก ๕๔

“เธอ ๖๐ องค์พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์”

ถ้าบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์ เห็นไหม ถ้าวิมุตติสุขมันพ้นจากบ่วงที่เป็นโลก

โลกนี้คือโลกธรรม ๘ มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ ยศถาบรรดาศักดิ์ของโลกๆ ที่เขาค้นคว้า เขาแย่งชิงกันอยู่นี่ พระอรหันต์พ้นบ่วงที่เป็นโลก แล้วบ่วงที่เป็นทิพย์ล่ะ นี่ไง เวลาตายไปแล้ว เทวดา อินทร์ พรหมไง โลกของจิตวิญญาณไง มียศถาบรรดาศักดิ์ไง นี่พ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและบ่วงที่เป็นทิพย์

ความมหัศจรรย์ในหัวใจดวงนั้น ถ้าความมหัศจรรย์ในหัวใจดวงนั้น ทำไมมนุษย์คนหนึ่งทำไมมันดีเลอเลิศได้ขนาดนั้นเชียวหรือ

มันดีเลอเลิศไม่ใช่ดีเลอเลิศได้ขนาดนั้นนะ เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ บุคคล ๔ คู่นั่นน่ะ มันเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป มันมหัศจรรย์ มันมีสถานะของมันนะ อย่างเช่น พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ผู้ใดที่ประพฤติปฏิบัติเวลาเป็นบุคคลคู่ที่ ๑ พาดกระแส เหมือนเราอยู่ในทะเลแล้วเราพยายามว่ายน้ำเข้าฝั่ง เท้าแตะพื้น เท้าแตะพื้น

คนที่ว่ายอยู่กลางทะเล ลอยคออยู่กลางทะเลมันทุกข์มันยากขนาดไหน เวลาว่ายเข้าฝั่งๆ เวลาถึงฝั่งแล้วเท้าแตะพื้นไง เท้าแตะพื้น บุคคลคู่ที่ ๑ เกิดอีก ๗ ชาติ รู้ได้อย่างไร รู้ชัดเจน

ถ้าบรรลุธรรมไม่รู้จักการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ไม่รู้ว่าเริ่มต้นที่ไหน สิ้นสุดเมื่อไหร่ ไม่ใช่อริยสัจ ไม่ใช่ความจริงแน่นอน

ถ้าความจริงมันมีที่มาที่ไปไง ถ้ามีที่มาที่ไปเพราะอะไร นี่ไง ถ้าบุคคลคู่ที่ ๑ ไง สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส เวลามันขาด มันขาดจากหัวใจดวงนั้นไป ถ้าขาดจากหัวใจดวงนั้นไป นี่เท้าแตะฝั่ง ธรรมะมันพาดกระแส พาดกระแสจิตใจดวงนั้นไง ภวาสวะไง ภพไง จิตไง สมบัติของตนไง มันไม่ใช่ความสูญเปล่าว่างเปล่า ว่างเปล่าโดยไม่มีสิ่งใดเลย

มันมีรสมีชาติตั้งแต่เริ่มต้น ปุถุชน กัลยาณชน

เริ่มต้นปฏิบัติก็ไม่รู้ กระเสือกกระสนทั้งนั้นน่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านประพฤติปฏิบัติมาแล้ว การประพฤติปฏิบัติยากอยู่ ๒ คราว คราวเริ่มต้นนี่ คราวเริ่มต้นตั้งแต่ปุถุชนคนหนา

แม้แต่เราเกิดมา โดยธรรมชาติคนรกโลก คนรกโลก ในทางปัจจุบันนี้ในทางเศรษฐกิจ ผู้ที่เขามีสติมีปัญญาเขาห่วงใยมากนะ ไอ้บุหรี่ไฟฟ้าๆ เพราะเด็กๆ มันเสพกัน มันเป็นของเท่ มันเป็นของทันสมัย ถ้าไม่เข้าถึงมันถือว่ามันไม่เทียมหน้าเทียมตาเพื่อนฝูง แล้วอย่างนี้มันทำลายสมอง มันทำลายมาตั้งแต่เด็กน้อย แล้วเด็กมันจะเติบโตขึ้นมา ความรู้สึกนึกคิดมันจะไปอยู่ไหน

คนที่เขาเป็นคนที่มีความรู้สึก เขาเป็นห่วงเป็นใยมาก เขาเป็นห่วงเป็นใยว่า ไอ้เด็กเล็กเด็กน้อย ไอ้บุหรี่ไฟฟ้า มันเป็นของโก้หรู มันเป็นของทันสมัย มันเป็นของน่ารื่นรมย์ แต่ไม่รู้ว่ามันจะให้โทษให้ภัยขนาดไหนนะ ถ้าเขาขาดสติ เขาควบคุมตัวเขาไม่ได้ เขาจะอยู่ในโลกนี้ได้อย่างใด มันเป็นภาระกันไปหมด นี่คนรกโลก แล้วมันรกมาจากไหนล่ะ

มันรกจากสังคมที่มันอ่อนแอ สังคมที่เห็นแก่ตัว สังคมที่เอารัดเอาเปรียบ เอาแต่ผลประโยชน์ของตน ไม่ได้คิดถึงคนอื่นเลยไง

พระโพธิสัตว์ๆ พระโพธิสัตว์คิดถึงคนอื่นก่อนนะ ถ้าคิดถึงคนอื่นก่อน ประโยชน์สังคมก่อน ไอ้ตัวเราอะไรก็ได้ ถ้าอะไรก็ได้แล้ว แล้วมันมีความภูมิใจด้วย มันมีความภูมิใจเพราะอะไร มีความภูมิใจเพราะหัวใจมันมั่นคงไง หัวใจมันมีความสุขไง เห็นสังคมสงบสุขเราก็มีความสุข

ไอ้พวกรกโลกมันเห็นอย่างนั้นไม่ได้หรอก มันต้องยุให้รำตำให้รั่ว มันต้องเกิดให้เกิดมีปัญหาแล้วมันจะฉกฉวยผลประโยชน์ของมันนั่นน่ะ นั่นไอ้พวกรกโลก

แต่เราเกิดมาแล้ว เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้าฟังธรรมๆ ไง ถ้าฟังธรรม มีอำนาจวาสนานะ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วไง เล็งญาณจะเอาใครก่อนไง จะเอาใคร เอาบุคคลคนไหน เขามีอำนาจวาสนาบ้างหรือไม่ ถ้ามีอำนาจวาสนา จะไปเอาคนนั้นก่อน

แล้วเวลาเทศนาว่าการแล้วถ้าเขาไม่รู้ล่ะ เขาไม่รู้ มันพูดกัน พูดเหมือนกัน แต่เข้าใจไม่เหมือนกัน แล้วความรู้สึกนึกคิดก็แตกต่างกัน แล้วการปฏิบัติแล้วมันก็ไม่ได้ผลอย่างนั้น

คำว่า ได้ผลอย่างนั้นนะ” เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเริ่มต้นปฏิบัตินะ เริ่มต้นพยายามรักษาหัวใจของตน

เวลาทางโลกๆ เวลาฤๅษีชีไพรสมัยพุทธกาลไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษาค้นคว้ากับเขานะ เจ้าชายสิทธัตถะไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันต้องมีฝั่งตรงข้าม ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แล้วไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันจะเริ่มต้นอย่างไร เวลาออกบวชแล้ว ๖ ปี ไปศึกษาค้นคว้ากับฤๅษีชีไพรร้อยแปดพันเก้า ใครว่าดี ไปศึกษากับเขาหมด แล้วศึกษาแล้วมันแก้กิเลสได้ไหม ไม่ได้

แล้วในสมัยปัจจุบันนี้ที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา นักปราชญ์ราชบัณฑิตเขาพยายามศึกษาค้นคว้าเป็นภาคทฤษฎี ดูสิ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ๒๐๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาปรินิพพานไง เขาทำสังคายนาแล้วท่องจำกันมา ๒๐๐ ปี พอ ๒๐๐ ปีแล้วถึงได้จดจารึกกันมา พอจดจารึกกันมา เวลาจดจารึกแล้วเห็นคลาดเคลื่อนก็พยายามจะทำสังคายนา ทำสังคายนาเพื่อให้ธรรมและวินัยนี้สืบต่อกันมา เวลาสืบต่อกันมานะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทวทัตไปขอปกครองสงฆ์ๆ ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “เทวทัต แม้แต่พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะ อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวาเรายังไม่ให้ปกครองเลย”

ถ้าปกครองๆ คนที่ปกครองมีความรู้มากน้อยขนาดไหน มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน

“เราให้สงฆ์ปกครองสงฆ์”

เวลาสงฆ์ปกครองสงฆ์นะ เวลาสงฆ์ในแต่ละยุคแต่ละคราว ถ้ามีครูบาอาจารย์ที่ดีงามไง เวลา ๒๐๐ ปีมาแล้ว พระติสสมหาเถระเป็นพระอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราช มีสิ่งใดไปถาม ไปถามอาจารย์ของตนทั้งนั้นน่ะ นี่เป็นพระอรหันต์ไง แล้วเวลาทำสังคายนาๆ ไง ทำสังคายนาแล้วจดจารึกกันมาเป็นธรรมและวินัยไง

เวลาในการศึกษานั้น นักปราชญ์ราชบัณฑิตเขาพยายามจะศึกษาค้นคว้ามาเป็นภาคปริยัติ ทรงจำธรรมวินัยๆ เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิต แต่ความเข้าใจในพระพุทธศาสนามันไม่เข้าใจแบบภาคปฏิบัติ

เวลาภาคปฏิบัติ ติสสมหาเถระที่เป็นอาจารย์ของพระเจ้าอโศกมหาราชนั่นน่ะเป็นพระอรหันต์ ถ้าพระอรหันต์มันรู้ไง ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนาสิ่งใด เริ่มต้นที่ไหน แล้วเพื่ออะไร เพื่อความสงบสุขของมวลมนุษย์ไง เพราะมวลมนุษย์ๆ ก็เราเกิดเป็นมนุษย์นี่ไง พระพุทธศาสนาต้องการความสงบสุขของมวลมนุษย์

ลัทธิศาสนาอื่นเขาให้เชื่อพระเจ้า เชื่อหัวหน้า เขาบังคับด้วยน่ะ แต่พระพุทธศาสนา กาลามสูตรอีกต่างหาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่าห้ามเชื่อนะ แต่เทศนาว่าการ เวลาวางธรรมและวินัย เห็นไหม

ศรัทธาๆ เวลาพระเผยแผ่ธรรม เผยแผ่ เผยแผ่เพื่อเจริญศรัทธา เพื่อให้เขาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เวลาศรัทธาแล้ว สิ่งที่ศรัทธาเป็นอริยทรัพย์ของมนุษย์ เพราะศรัทธาแล้วมันจะศึกษาค้นคว้าของมัน แต่เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติ ศรัทธาแก้กิเลสไม่ได้ นี่ไง แล้วกาลามสูตร ห้ามเชื่ออีกต่างหาก

แต่เริ่มต้นศรัทธาสำคัญมาก ที่ชาวพุทธไง เมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา เมืองพระพุทธศาสนา สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรม ประเพณีวัฒนธรรมเพื่อบุญและบาป เวลาบุญและบาป จะทำคุณงามความดีขึ้นมามันจะเข้าสู่หัวใจของตน ถ้าหัวใจของตนมีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา ถ้ามีศรัทธามาก มันจะออกฝึกหัดปฏิบัติ

เวลาฝึกหัดปฏิบัติเพราะอะไร

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สันทิฏฐิโก

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราต้องเป็นเช่นนั้นใช่ไหม ถ้าเราต้องเป็นเช่นนั้นต้องทุกข์ยากขนาดไหน

เริ่มต้นตั้งใจ เห็นไหม เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย แล้วเห็นสมณะ ทางออกคือทางที่สมณะนี้ เวลาทางออกคือสมณะนี้นะ เราจะต้องละทิ้งเพื่อหาแสวงหาหนทางในทางสมณะที่จะไปฝึกหัดประพฤติปฏิบัตินี่ไง

แล้วเวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ไปอยู่กับใคร ไปศึกษากับใคร ทำทุกรกิริยา สมัยนั้นพวกพราหมณ์เขากำลังเจริญรุ่งเรืองไง ในสมัยปัจจุบันนี้เขาทำอยู่นั่นน่ะ บูชาไฟนั่นน่ะ แล้วเขามีกิจกรรมของเขานะ เหมือนโยคะนี่แหละ โยคะทำเพื่อกายให้สุขภาพกายแข็งแรง แล้วให้จิตใจ จิตใจกับร่างกายมันจะเป็นไปด้วยกัน

ไอ้ของเรานั่งสมาธิภาวนาเกือบตาย เอาหัวใจไม่อยู่แล้วกันน่ะ แต่เวลาหัวใจมันอยู่นะ โอ้โฮ! มันทิ้งร่างกายไปเลย นี่ไง ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิไง เวลาอัปปนาสมาธิ สักแต่ว่าปรากฏ

เราเกิดมาเป็นคนมีกายกับใจ เวลามันทุกข์มันยากขึ้นมา ร่างกายไปโดนสิ่งใดมานะ สุดท้ายแล้วหัวใจมันจะเป็นทุกข์ของมัน เวลาจิตมันสงบแล้วมันวางหมดเลย ตัวมันเองสักแต่ว่าปรากฏ พุทธะ นี่เวลามหัศจรรย์น่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อเพื่อหัวใจของสัตว์โลก รื้อหัวใจของสัตว์โลก จริตนิสัยของคนมันแตกต่างมากมายมหาศาล เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติ กรรมฐาน ๔๐ ห้องไง อะไรก็ได้ ทำให้หัวใจมันสงบสุขขึ้นมา

หัวใจที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ สังคมรังแกฉัน ทุกคนเอาเปรียบฉัน ทุกคนทำลายฉัน

ฉันนั้นยิ่งใหญ่ขนาดไหน ฉันนั้นอายุร้อยปีหรือเปล่า สังคมมันมีมามากมายมหาศาลตั้งแต่ยุคน้ำแข็งนู่นน่ะ เวลาเกิดมนุษย์ขึ้นมานั่นน่ะ มนุษย์ ฟอสซิลมนุษย์กี่ล้านปี แล้วกว่าจะมาเกิดเป็นเราล่ะ

สังคมรังแกฉัน

ถ้าธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอ็งเกิดมากี่รอบแล้ว เอ็งเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะกี่ภพกี่ชาติ พอเกิดมาชาตินี้ยิ่งใหญ่นัก เกิดมาชาตินี้ถ้ามีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา ถ้าแน่จริง เอาความสงบของใจเข้ามาสิ เอาหัวใจให้มันสงบให้ได้ ไม่ต้องไปประชดประชันใครทั้งนั้น

กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เราทำมาเองทั้งนั้น เราทำมาทั้งนั้น เราไม่ทำมา เราไม่ได้มาประสบเวรกรรมของสัตว์นี่หรอก แต่ถ้ามันมีอำนาจวาสนานะ ถึงจะประสบเวรกรรมของสัตว์ สัตว์ประเสริฐไง สัตว์ประเสริฐไง สิ่งที่จะพ้นทุกข์ มันจะพ้นทุกข์ที่ไหน

ถ้ามันจะพ้นทุกข์ขึ้นมา เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เช้าขึ้นมานะ ทำบุญตักบาตนั่นน่ะสำคัญมาก เห็นสมณะ เห็นธงชัยพระอรหันต์ ผ้ากาสาวพัสตร์นั่นน่ะ สัตว์มันยังรู้ได้ ไปวัดไปวา เขตอภัยทาน เห็นพระที่ไหนนี่แหละปลอดภัย ปลอดภัยในประเพณีวัฒนธรรมไง เราก็รู้กัน รู้กันทางโลกไง

ถ้าเกิดมาไม่รกโลก มันจะทำคุณงามความดีของมัน แล้วถ้ามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนา บวชเป็นพระ เป็นนักรบ แล้วจะรบกับกิเลส

ถ้ารบกับกิเลสนะ เวลารบกับกิเลสรบอย่างไร แล้วรบที่ไหน แล้วรบเมื่อไหร่

ไปรบกับสังคมใช่ไหม บวชมาแล้วน้อยเนื้อต่ำใจไปทั้งนั้นน่ะ สังคมรังแกฉัน สังคมไม่ดูแลฉัน

ทำไมต้องดูแล หน้าที่ของเขา เขาหาอยู่หากินของเขา หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินขึ้นมา เขาได้ห้าได้สิบ แสวงหาแต่ของดีๆ ทั้งนั้นมาถวายพระ ถวายพระเพราะอะไร เพราะอยากได้บุญได้กุศล

พระรับของเขาแล้วใช้ทำประโยชน์ของเขาเมื่อไหร่ เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาพอเป็นบุญกุศลของเขาหรือเปล่า ถ้ามันพอเป็นบุญกุศลของเขา สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศลของเขา สังคมจะร่มเย็นเป็นสุข สังคมจะดีงามไง มันดีงามตั้งแต่ผู้นำนี่ไง ถ้าผู้นำเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมไง

ถ้าสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรมเพราะอะไร

มันเป็นแบบอย่าง นี่แบบอย่างที่ดีงาม ผู้เป็นหัวหน้าที่ทำเป็นแบบอย่าง การสั่งสอนที่ประเสริฐที่สุดคือไม่ต้องพูดอะไรเลย การสั่งสอนที่ประเสริฐที่สุดคือการทำให้ดู

นี่สอนปากเปียกปากแฉะ จ้ำจี้จ้ำไช แล้วคนผู้โดนสอนก็เบื่อหน่าย อะไรก็ลำเอียง อะไรก็ไม่เห็นด้วยถูกต้องสักอย่าง

ถ้ามันถูกต้องนะ เอ็งจะมีความสุขมาก ถ้าถูกต้องชอบธรรมนะ เอ็งจะเห็นสังคมแล้วนะ เอ็งจะมีเมตตาธรรมเลยล่ะ

รักก็ไม่ใช่ ถ้าเอ็งรัก เอ็งทุกข์ทันที

เราไม่พลัดพรากจากเขา เขาก็ต้องพลัดพรากจากเราแน่นอน

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด

สิ่งใดที่เราได้มาไม่ใช่ของเราทั้งนั้น มันเป็นของสมมุติ ชั่วครั้งชั่วคราว ทางโลกไง สมบัติผลัดกันชม ใครมีสติมีปัญญาแสวงหาได้มากน้อยขนาดไหนนั่นน่ะทรัพย์สินของเขา แล้วถ้าทรัพย์สินของเขาได้มาถูกต้องชอบธรรมเป็นธรรมาภิบาล

แล้วในโลกนี้ ไอ้พวกโลกๆ ไอ้พวกขี้โกง ไอ้พวกหลอกออนไลน์ เขามีทรัพย์สิน มันไปลวงเขา ไปหลอกเขา ไปกว้านของเขามา เขาทุกข์เขายาก เขามีความทุกข์ของเขา เอ็งไปเอาของเขามาน่ะ นั่นน่ะหลอกลวงเขาได้มา

สิ่งที่ถ้ามีสติมีปัญญา ไม่ทำอย่างนั้นๆ เราไม่ทำลายน้ำใจของใครทั้งสิ้น เราไม่ทำลายทั้งนั้น เว้นไว้แต่

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ภิกษุทั้งหลาย เธอจงไปโลกนี้ด้วยไม่ซ้ำทางกันนะ โลกนี้เร่าร้อนนัก โลกนี้เร่าร้อนนัก

โลกนี้คือจ้ำจี้จ้ำไชจะอบรมบ่มเพาะสอนเขาไง แต่ถ้าสอนมันก็อยู่ที่วาสนาของคนไง ถ้าวาสนาที่ดีงาม เขาก็เชื่อฟัง ถ้าวาสนาที่ไม่ดีงาม เขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วจะบอกเลยนะ “ฉันจะทำมาหากิน ฉันมีความทุกข์ความยาก จะมาสอนฉันปล่อยวางๆ ปล่อยวางอะไร”

ปล่อยวางทุกข์ในใจนั่นน่ะ ทำมาหากินมันเป็นผล เป็นสิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่ดีงามเพราะคนมีงานทำ

คนตกงานมีแต่ความทุกข์ความยาก การทำมาหากินนั่นถูกต้องชอบธรรม แต่ทำมาหากินแล้วมันกดดันตัวเองหรือไม่ มันทุกข์ยากเกินไปหรือเปล่า ถ้าให้เข้าใจอย่างนั้นไง กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำสิ่งใดที่ดีงามมา มันจะประสบความสำเร็จในชีวิตของเขา

ถ้ามันขาดตกบกพร่อง เราขาดเพราะอะไร เราทำสิ่งใดมา ถ้าเราทำสิ่งใดมา ฉะนั้น เราต้องทำมาหากิน แต่ทำมาหากินด้วยความสุข ความปกติสุข ไม่ได้ทำมาหากินด้วยความทุกข์ความยาก ฉะนั้น ความทุกข์ความยาก เวลาทำมาหากินนะ ดูสิ ชาวไร่ชาวนาหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินก็เราเกิดมาอย่างนี้ไง

เขาบอก ถ้าพูดเป็นทางวิทยาศาสตร์ พระพุทธศาสนาสอนให้ยอมจำนน อะไรก็เป็นเวรเป็นกรรม

เป็นเวรเป็นกรรมที่ไหนล่ะ สิ่งที่เราเห็นมาด้วยทรัพย์สินถือว่าเราจะมีความสุข จริงหรือ เขามีความสุขๆ มันสุขที่หัวใจเขา ถ้าสุขที่หัวใจเขานะ มีมากมีน้อยขึ้นมาเขาพอใจของเขา เขามีความปกติสุขของเขา ไอ้เรามีมากมายมหาศาล ทุกข์เจียนตาย ยิ่งมีมากยิ่งกังวลมาก ยิ่งมีมากยิ่งทุกข์มาก ความสุขมันเกิดจากที่ไหน

นี่ถ้าความสุขความจริงไง เราจะเริ่มฉลาดแล้ว หน้าที่เราทำของเรา เราก็จะฝึกหัดปฏิบัติของเรา มันหน้าที่ทางโลกๆ แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ถ้าฝึกหัดปฏิบัติให้มันเป็นธรรม

ถ้ารกโลก มันก็เป็นพวกมนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโน มนุษย์สัตว์ มนุษย์เปรต ถ้าเป็นผู้มีศีลมีธรรม มนุสสเทโว เป็นมนุษย์เทวดา แล้วสิ่งที่มนุษย์ต่างๆ มันเกิดกับเราทุกอารมณ์เลย คิดที่ดีงาม เห็นไหม นี่ไง เกิดดับๆ ไง อารมณ์หนึ่ง ภพชาติหนึ่ง ผู้ที่เขาฝึกหัดปฏิบัตินะ สันตติ ธาตุรู้ เกิดต่อเนื่อง แล้วไม่มีวันที่สิ้นสุด นี่พลังงานไง

ชีวิตนี้คืออะไร

ชีวิตนี้คือพลังงาน

พลังงานที่ไหน

ภวาสวะไง ภวาสวะจิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา เวลาครูบาอาจารย์ท่านจึงวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ คำว่า วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ มันซาบซึ้ง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เทศนาว่าการไว้นี้เป็นธรรมและวินัย เป็นศาสดาของเรา ครูบาอาจารย์ที่ฝึกหัดปฏิบัติมาแล้วมันทุกข์มันยากมาขนาดไหน แล้วทุกข์ยากขนาดไหน ถ้าเราทุกข์มาก่อน เราก็ไม่อยากให้ใครทุกข์มากไปกว่าเรา แล้วถ้าไม่อยากให้ทุกข์มากไปกว่าเรา มันควรจะเริ่มต้นอย่างไร

ถ้าเริ่มต้นอย่างไร จิตที่เป็นนามธรรมๆ คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อหัวใจของสัตว์โลก แล้วหัวใจของสัตว์โลกมันเชื่อฟังเราหรือไม่ นี่เวลาพูด พูดเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แล้วมันจะเอาจริงเอาจังขึ้นมา มันก็เอาจริงเอาจังตามแต่อารมณ์ความพอใจของมัน

ถ้าเอาแต่ความพอใจในอารมณ์ของมัน นั่นน่ะกิเลสทั้งนั้นน่ะ สิ่งที่ทำมันกิเลสทั้งนั้นน่ะ ทั้งๆ ที่เราจะทำคุณงามความดีนะ ทั้งๆ ที่เราเชื่อในพระพุทธศาสนาแล้ว แล้วเราก็จะฝึกหัดปฏิบัติอยู่นี่ กิเลสมันพาไปหมดเลย ส่งออกทั้งนั้นน่ะ เพราะอะไร

เพราะเวลาจิตเราเริ่มต้นมีสตินะ นี่ไง รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง

เราฝึกหัดปฏิบัติ เราปล่อยปละละเลยทั้งนั้น เราจับต้นชนปลายอะไรก็ไม่ได้ ศึกษาค้นคว้านั่นแหละสมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี่ถ้าเป็นทางโลกไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกนะ ไม่มีกำมือในเรา

แบหมดไง ธรรมและวินัยนี้วางไว้ให้ชาวพุทธได้ศึกษาค้นคว้า แล้วศึกษาค้นคว้า ค้นคว้าได้มากได้น้อยขนาดไหน แล้วเวลาเราศึกษาค้นคว้า ศึกษาโดยภาคปริยัติ คือการศึกษาภาคทฤษฎีในทางทรงจำธรรมวินัย

แล้วเวลาจะฝึกหัดปฏิบัตินะ นั่นภาคปริยัติ เวลาภาคปฏิบัติ เวลาภาคปฏิบัติก็จำปริยัติมาทั้งหมดเลย แล้วก็จินตนาการสร้างภาพเลย มันจะเป็นภาคปฏิบัติตรงไหน นี่เอ็งจะสร้างเมืองใหม่หรือ สร้างภพสร้างชาติในใจแล้วนะ ทั้งๆ ที่จะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาเพื่อความสงบสุข ไม่ใช่สร้างโครงการ จะสร้างเมืองใหม่เลย เมืองนิพพาน แล้วก็จินตนาการไปไง

หลวงปู่มั่นเวลาท่านอบรมบ่มเพาะนะ หลวงปู่ชอบ ครูบาอาจารย์ที่ไปหาท่าน ท่านก็ดูจริตนิสัยแล้วให้ฝึกหัดปฏิบัติ

หลวงตาพระมหาบัวไป ท่านเป็นมหาไง แล้วหลวงตาพระมหาบัวท่านทุกข์ยากมากเพราะจิตเสื่อม

มหามาหาอะไร มาหามรรคผลนิพพานใช่ไหม มันไม่ใช่อยู่ในตำรับตำราที่เรียนจบมหานั่น นี่ภาคทฤษฎีทั้งนั้นเลยล่ะ แล้วก็ปฏิบัติตามภาคทฤษฎีนั้นแหละ แล้วก็สร้างเมืองขึ้นมาหมดเลย แล้วพอเวลามันเสื่อม เมืองก็หายไปเลยล่ะ แล้วทุกข์ยากขนาดไหนล่ะ แล้วมาหาอะไร ฉะนั้น สิ่งที่ศึกษามาให้ใส่ลิ้นชักสมองไว้ ลั่นกุญแจมันไว้ แล้วภาคปฏิบัติให้ทำขึ้นมามันเป็นข้อเท็จจริง ทีนี้ให้พุทโธๆ

พุทโธ ท่านบอกเลย พุทโธ ๓ วันอกแทบระเบิด

เวลาจิตมันเสื่อม กิเลสมันมีผลงานไง เวลาผู้ที่ฝึกหัดปฏิบัติก็คิดว่าเราจะสร้างเมืองใหม่เลย เราจะสร้าง เราจินตนาการได้มากมายมหาศาล เราจินตนาการถึงมรรคผลนิพพานเลย

เอ็งทำสมาธิยังไม่เป็นนั่นน่ะ ทำสมาธิเป็นแล้วก็ติดสมาธิ อ๋อ! เมืองใหม่มันสำเร็จด้วยอย่างนี้เอง ว่างหมดเลย...ธรรมมือเปล่า คว้าน้ำเหลวไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน

เวลาทำความสงบของใจ ใจสงบแล้ว สิ่งใด สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายมันเป็นอนัตตา สติ สมาธิ ปัญญาที่เกิดดีขึ้นมันเป็นอนัตตาคือมันอยู่ชั่วคราว มันไม่มีอะไรจริงจังหรอก สิ่งที่เราทำมาน่ะเจียนตาย ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาเพื่อความสงบระงับ แล้วมันสงบระงับเข้ามาด้วยสติ ด้วยคำบริกรรม แล้วเวลามันเสื่อมน่ะ ไปหมดเลย เหมือนเขื่อนแตก

เวลาเขื่อนมันแตกนะ หมู่บ้านท้ายเขื่อนระเนระนาดเลย หมด นี่เหมือนกัน ฝึกหัดปฏิบัติเกือบตาย ตั้งสติซะดี ตั้งสมาธิซะดี ทำซะดีงามเลย เวลามันมีความปกติสุข โอ้โฮ!

นี่รักษาไม่เป็น รักษาเป็นก็เสื่อม

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เราชำนาญในวสี

หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง เจอหน้าหลวงปู่มั่นไม่มีอะไร “จิตเป็นอย่างไร”

ท่านไม่ถามเลยว่าเอ็งรวยมาจากไหน เอ็งยศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตมาขนาดไหน ไม่ใช่

จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไรนี่สำคัญมาก จิตเป็นอย่างไรคือคนคนนั้นมีความรู้สึกว่าอย่างไร จิตเป็นอย่างไรแสดงว่าคนคนนั้นมีสติสัมปชัญญะ

คนเรามันไม่อยู่กับจิตตัวเองเลย มันอยู่กับอารมณ์ที่พญามารมันปลิ้นปล้อน มันหลอกลวง มันถือเนื้อถือตัวมาว่ามันยิ่งใหญ่มาตั้งแต่ไหน รู้จักไหมว่ากูลูกใคร ก็ลูกมารไง

แต่ถ้าจิตเป็นอย่างไร โอ้โฮ! มันสงบสุขนะ จิตเป็นอย่างไรๆ เราทำสงบสุขก็พาให้เรารู้จักจิตของเรา เรารู้จักตัวตนของเรา ถ้าเรารู้จักตัวตนของเรา เพราะอะไร เรารู้จักตัวตน เราต้องพึ่งพาอาศัยใคร

ในปัจจุบันนี้ ขณะที่มันสงบคือมันเป็นปัจจุบันขณะ ปัจจุบันที่มันเป็นนี้มันต้องพึ่งใคร ก็พึ่งตัวกูนี่ไง เพราะตัวกูสงบสุข แล้วติดด้วย ไม่เป็นหรอก

แต่ถ้าเป็นกรรมฐานนะ ครูบาอาจารย์ที่ดีงามเขาจะถามว่า จิตเป็นอย่างไร

จิตเป็นอย่างไร คือว่าเราฝ่ามรสุมอารมณ์ความรู้สึกของเราผ่านมาแล้ว กว่าเราจะฝ่าพายุอารมณ์ ฝ่ากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทิฏฐิมานะของตน ขันธ์ ๕ ไง มันทะลุรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าไปสู่ความสงบสุข ผ่านขันธ์ ๕ เข้าไป แล้วเราไม่รู้เรื่องหรอก

แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่านรู้ของท่านไง เพราะมันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงของการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์มีกายกับใจ แต่เราศึกษากันแล้ว เราศึกษาทางจิตวิทยาเรื่องร่างกายเข้าใจหมดล่ะ สมอง สิ่งที่มันการเคลื่อนไหว เส้นประสาท รับรู้อย่างไร ศึกษาค้นคว้าได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ยังศึกษาไม่ได้ว่ามันเกิดอย่างไร ถ้าเกิด ใครเกิด เกิดกับใคร

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ตั้งแต่ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วนะ เกิดจากน้ำมันใส น้ำมันข้นไง เกิดจากไข่ เกิดจากสเปิร์ม แล้วเกิดอย่างไร มีปฏิสนธิจิต จิตอุบัติขึ้นมันถึงเกิด เกิดโดยตัวของมันเองแต่อาศัยพ่อแม่ เพราะเราเกิดมามีกายกับใจ พันธุกรรมของพ่อของแม่ทั้งนั้นน่ะ พันธุกรรมของพ่อของแม่ จริตนิสัยของเรา

ฉะนั้น เวลาพระสารีบุตร พระโมคคัลลานะไง เวลาจะไปบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย “โอ้! อัครสาวกเบื้องซ้ายกับเบื้องขวาของเรามาแล้ว”

ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ปฏิบัตินะน่ะ นี่สิ่งที่เขาสร้างของเขามาไง หัวใจของเขาไง เกิดกับพ่อกับแม่นั่นแหละ แต่ด้วยบุญของท่าน อำนาจวาสนาของท่าน ท่านจะได้มาเกิด เกิดแล้วท่านจะได้มาพบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านจะได้มาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนได้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายและเบื้องขวา นี่ของเขา เกิดในบุญและบาปของเขา นี่ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังของมันขึ้นมาไง

ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังของเราขึ้นมา ที่เรามาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของเรา ก็ย้อนกลับมานี่ ย้อนกลับมา เราเกิดเป็นมนุษย์ไง มีกายกับใจ เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ ทุกข์กายทุกข์ใจ

ทุกข์กายๆ ทุกข์กายเพราะอะไร ทุกข์กายเพราะเราเหลิง รื่นเริงทุกข์กาย อยู่แต่ร่างกายนี้แหละ แต่เวลาเวรกรรมมันมาถึงนะ เวลามันทุกข์ใจ ทุกข์กาย ทุกข์ใจ นั่งสมาธิๆ นั่งสมาธิปวดเข่า ปวดเอว ปวดร่างกายไปหมดเลย แล้วหัวใจมันไม่ปวดบ้างหรือ เพราะอะไร เพราะหัวใจมันโง่ไง มันเสวยอารมณ์ไง มันส่งไปอยู่ที่ตรงปวดหมดน่ะ

แต่ถ้ามันฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมานะ มันจะรู้เลยว่า โอ้โง่น่าดูเลย ถ้ามันฉลาดสักนิดหนึ่ง มันฉลาดสักนิดหนึ่งนะ มันทำความสงบสุขได้ ถ้าจิตสงบแล้วจบหมดล่ะ พอจบแล้วนะ เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เวลาฝึกหัดใช้ปัญญามันจะเริ่มฝึกหัดปฏิบัติไง ไม่ใช่ธรรมมือเปล่า คว้าน้ำเหลว เวลาเขาหยิบจับสิ่งใด ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือมาเลย

นี่ไง จิตเป็นอย่างไร ถ้าจิตนะ ว่างเปล่าๆ นะ ว่างอย่างไร ว่างเปล่าๆ มันเป็นเรื่องอุปาทานหมู่แล้ว แต่เวลาครูบาอาจารย์เราไม่ จิตใครสงบก็จิตของคนนั้น

นั่งด้วยกันอย่างนี้ บางคนจิตมันสงบสุขได้ บางคนเต้นโครมๆ เลย บางคนประชดประชันอีกต่างหาก นั่นน่ะทิฏฐิมานะ กรรมของสัตว์ทั้งสิ้น

แต่ถ้ามันจะเป็นจริงเป็นจังนะ ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจดวงนี้ เพื่อหัวใจดวงนี้ ถ้าหัวใจดวงนี้ถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา สิ่งที่ครูบาอาจารย์แสดงธรรม ใจมันรู้หมดน่ะ เพราะใจมันเป็น เพราะใจมันเป็น มันสงบสุขเข้ามาไง ถ้ามันสงบเข้ามาแล้วถ้ามันยกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ไง

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้ไง อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสเลย

การบูชาด้วยอามิส เราทำสิ่งใดนั่นบูชาด้วยอามิสทั้งนั้นน่ะ ทาน ศีล เวลาภาวนาๆ “ปฏิบัติบูชาเราเถิด” เวลาปฏิบัติบูชาขึ้นไป เวลาจิตมันสงบสุขเข้ามาไง ถ้าจิตมันสงบสุขเข้ามาแล้ว สมถกรรมฐาน

สมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน

ถ้าหลวงปู่มั่น จิตเป็นอย่างไร ยกขึ้นสู้วิปัสสนาไง

โลกกับธรรม

ปฏิบัติแบบโลกๆ แบบโลกๆ มันเป็นโลกียะ แบบโลกๆ คือแบบวิทยาศาสตร์ แบบโลกๆ คือแบบจิตใต้สำนึกเรานี่แหละ มันได้แค่นี้แหละ มันได้แบบโลก โลกแค่นี้แหละ

แต่ถ้าจะเป็นธรรม ไม่ใช่ธรรมมือเปล่า คือจับต้องสิ่งใดไม่ได้

ถ้ามันจะเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา จิตสงบแล้วมันน้อมไปเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม เพราะอะไร เพราะกิเลสมันอยู่ที่ไหนล่ะ กิเลสมันอยู่ที่ฐีติจิต เวลากิเลสมันจะได้สิ่งใดขึ้นมา มาก็อาศัยธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ เพื่อบำรุงบำเรอเหมือนกัน

อย่างเช่นทุกข์กายๆ เวลาทุกข์กายมันไม่พอใจไปทั้งสิ้น แล้วถ้ามันจะสิ่งใดเพื่อตอบสนองมัน มันจะเป็นความฉ้อฉล เป็นอย่างไร มันเอาทั้งสิ้นน่ะ แต่ถ้าเป็นธรรม ไม่

เวลามันทุกข์กายๆ ทุกข์กายมันทุกข์เพราะอะไร ถ้าทุกข์กาย สิ่งที่มันต้องการ ต้องการปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ เท่านั้น ถ้าที่ไหนมีน้ำ ที่นั่นมีสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตต้องการ ต้องการน้ำ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อาศัย แล้วถ้ามันมีสติปัญญา เท่านี้มันพอแล้ว

อย่างเช่นเรามีอำนาจวาสนา เราบวชพระ บวชพระมีบริขาร ๘ ถ้าบริขาร ๘ อยู่ในหมู่คณะที่ดีงามนะ มันสมบูรณ์พูนสุข มันเหลือเฟือ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบัญญัติไว้เลยในวินัยนะ ถ้าได้ผ้ามาถ้าเกิน ๔ นิ้วต้องวิกัป ถ้าไม่วิกัปนะ มันได้มาแล้วถ้าไม่วิกัป ถ้าถึง ๗ วัน ปรับเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพราะอะไร

ลองได้บวชสิ มันได้สิ่งใดมานะ โอ๋มันจินตนาการเต็มที่เลย ไอ้นู่นๆ ไอ้นี่ มันเกิดเรื่องทั้งนั้นน่ะ มันเกิดเรื่องจากอะไร มันเกิดเรื่องจากหัวใจไง หัวใจมันขาดสติมันจินตนาการไปด้วยเพราะมันอยากได้ ฉะนั้น ให้วิกัปเป็นสองเจ้าของ คือเราจะทำอะไรไม่ได้ จะทำต้องให้ภิกษุด้วยกันถอนวิกัป

คือมันไม่ใช่ของเราไง ผ้านั้นไม่ใช่ของเรา มันเป็นของส่วนกลาง มันเป็นของวิกัป เป็นของสองเจ้าของ สามเจ้าของ แต่ถ้าครูอาจารย์ที่ท่านเก็บไว้เป็นของของสงฆ์ ไม่ใช่ของของเรา ถ้าเป็นของของเรา มันจินตนาการไปทั่ว

ผ้ากาสาวพัสตร์ไง ผ้าไม่ขาด มันก็อยากจะให้มันขาด จะได้เปลี่ยนผ้าใหม่ แล้วเปลี่ยนผ้าใหม่แล้วผ้าจะเป็นอย่างไร นี่พูดถึงปัจจัย ๔ ไง

จะบอกว่า เราขาดแคลนๆ บวชเป็นพระๆ ของมันอุดมสมบูรณ์ แต่เพราะว่าเราสติปัญญาไม่เท่าทัน มันถึงจินตนาการของมันไปไง แต่ถ้าเราเท่าทัน นี่มันเป็นเรื่องปัจจัย ๔ เครื่องอยู่ของกายเท่านั้น แล้วหัวใจล่ะ หัวใจมีสติ

ถ้ามีสติอย่างที่ว่า วิกัป ไม่วิกัป มันไม่ไปยุ่งกับใคร วิกัปสิ่งที่เป็นวัตถุ ปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ มันเป็นความจำเป็นของชีวิต แล้วเราก็จะพิจารณาอยู่อย่างนั้นน่ะ นี่เรื่องบริขาร แล้วเรื่องหัวใจล่ะ

เรื่องหัวใจๆ สิ่งนั้นเราทำให้สมบูรณ์แล้ว วาง แล้วเรากลับมาดูหัวใจของตน กลับมาดูหัวใจของตน เห็นไหม ผ้าปัจจัย ๔ ใช้สอยแล้วมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา หัวใจดวงนี้เกิดมาแต่ภพชาติใด ในปัจจุบันนี้มาเกิดเป็นเรา เรามีชื่ออะไร แล้วเราทำความสงบของใจได้หรือไม่

ถ้าใจมันสงบขึ้นมา พุทธะ เพราะมันเป็นธาตุรู้ไง ความรู้สึก

แต่ในปัจจุบันความรู้สึกเจือไปด้วยอารมณ์ เจือไปด้วยเพราะสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นไหม เราเห็นสิ่งใดล่ะ อย่างเช่นยิ่งปัจจุบันนี้โลกเจริญ อะไรที่ออกใหม่ๆ มา แหม! ได้เห็นแล้วไปเลย สิ่งที่เห็น ต้องได้รุ่นนั้น ออกใหม่ เราต้องมีๆ

มีไปทำไม นี่เวลาโลกมันเจริญไง สินค้าออกมา โอ้โฮ! มากมายมหาศาลเลย แล้วใช้อะไร แล้วมีประโยชน์อะไร เวลาประโยชน์ๆ คนที่เขาทำหน้าที่การงานของเขา ไอ้เราไม่มีหน้าที่การงานอย่างนั้นน่ะ มันไป นี่มันเป็นความวิตกกังวลไปทั้งนั้นน่ะ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา เราเท่าทันอารมณ์ของตน เพราะเราจะฝึกหัดปฏิบัติ

ถ้าฝึกหัดปฏิบัตินะ พอจิตสงบแล้ว จิตมันเริ่มสงบ มันเริ่มวางอารมณ์เข้ามา เรารู้ตัวแล้ว แต่เดิมมันไม่เป็นอย่างนี้ แต่เดิมความคิดยิ่งคิดยิ่งซาบซึ้ง ยิ่งคิดจะมีความสุข ยิ่งคิดยิ่ง แหม! ไหลไปเลย

แต่พอจิตมันเริ่มสงบนะ ไอ้นั่นเรื่องข้างนอก เรื่องของเรามากมายมหาศาล เรื่องของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสร้างเวรสร้างกรรมมามากมาย แล้วในปัจจุบันนี้มีโอกาสประพฤติปฏิบัติ เรื่องของเรา เรื่องธาตุรู้นี่ เรื่องหัวใจที่มันเรียกร้อง เรียกร้องให้ใจมีสติมีปัญญามาดูแลใจของตน ใจของตนแท้ๆ ไม่รู้ไม่เห็นมัน

แต่สภาวะแวดล้อม สังคม การเกิด มันเป็นเรื่องสาธารณะนะ เราเกิดมาแล้ว การเกิดเป็นมนุษย์นี่สมมุติ แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เขามีศีลธรรม มีจริยธรรม มีบ้านมีเรือน มีถนนหนทาง สาธารณูปโภค มันเป็นเรื่องของสาธารณะ น้ำไหลไฟสว่าง ถนนหนทางเป็นของสาธารณะ แล้วของสาธารณะมันของใช้ร่วมกัน เพราะอะไร เพราะมันเกิดเป็นประเทศชาติ มันเป็นเรื่องของภพของชาติ แล้วเรามาเกิด มันเรื่องของสาธารณะ แล้วถ้าใครมีคุณงามความดีเขาก็สร้างประโยชน์ เห็นไหม

แต่คนที่เห็นแก่ตัวสิ มันตัดสายไฟฟ้า สาธารณูปโภคที่จะใช้ร่วมกัน มันเห็นแก่ตัว มันเพื่อประโยชน์ของมัน แล้วมันได้ผลตอบแทน ไอ้ลงทุน ราคามันแตกต่างกันมากมาย นี่ดูมันทำ มันทำลายใครน่ะ มันทำลายของส่วนรวม แล้วมันได้อะไรล่ะ แล้วเรื่องของตัวล่ะ

นี่เวรกรรมของสัตว์ ความรู้สึกนึกคิดนี่ภายนอกนะ แล้วถ้าภายในล่ะ

ภายในคือใจของเรา เรื่องของเราเยอะแยะ เรื่องของเรา เรื่องข้างนอกเขาเรียกสภาคกรรม เกิดร่วมกับใคร เกิดสมัยใด เกิดสมัยที่ดีงาม สหชาติ ใครเกิดร่วมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีบุญมีกุศลมาก แล้วมีบุญกุศล ในสมัยพุทธกาลไง คนเชื่อก็มี คนไม่เชื่อมากมาย นั่นสหชาตินะ

นี่เหมือนกัน จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเกิดในยุคใด เกิดในสมัยใด แล้วเราเกิดมากี่ภพกี่ชาติ จะเชื่อไม่เชื่อมันเป็นสิทธิ์ แต่ข้อเท็จจริงมันจะบอกถึงจริตนิสัย มันจะบอกถึงความรู้สึกนึกคิดของตน

ถ้ามันสร้างคุณงามความดีมา พระโพธิสัตว์ๆ เขาทำคุณงามความดีด้วยความสุขนะ เขามีอะไรเขาทำ นี่คนที่เขาฉลาด เขามีของเขา เขาทำเขาไม่เปิดเผยตัวตนด้วย เขาทำใต้ดินทั้งนั้นน่ะ ไอ้เปิดเผยตัวตน ไอ้หลอกออนไลน์ทั้งนั้นน่ะ มีอะไรล่ะ มันขึ้นบัญชีเลยล่ะ มันจะหลอกลวงเขาทั้งนั้น แต่ถ้าคนเขามี เขาแอบทำ เพราะเขากลัวพวกนี้ไง

ฉะนั้น ถ้าจิต จิตเรื่องของเราล่ะ

เรื่องของเรา เรามีสติ มีคำบริกรรม มีทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้วมันจะดีขึ้นของมันไปเรื่อยๆ ถ้ามันไม่ดีขึ้นอย่างไร มันต้องอยู่ในอำนาจของเราสิ

คนที่มีอำนาจวาสนา เราทำสิ่งใดเราก็ทำได้ทั้งนั้น งานทางนี้งานทางโลกไม่มีวันจบวันสิ้น งานจะจบจะสิ้น เรื่องของเรานี่แหละ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุทานเลย “อัญญาโกณฑัญญะรู้แล้วหนอ”

เวลาเทศนาว่าการ เอหิภิกขุ บวชให้เองนะ วันมาฆบูชา ๑,๒๕๐ องค์ บวชให้เอง สอนเอง สอนจนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น คำว่า เป็นพระอรหันต์ เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายืนยันในใจของท่านเอง ท่านรู้ของท่านแล้ว วิมุตติสุขๆ เสวยวิมุตติสุข โอ้โฮ! มีความสุขมาก สุขอย่างนี้เรามีกับเรา

แล้วในวัฏฏะแบกหามกันทุกข์กันยากทั้งนั้น แล้วจะบอกเขาอย่างไร ถ้าบอกเขา เขาจะเชื่อเราหรือไม่ บอกเขา เขาจะหาว่าเราล้วงกระเป๋าเขาหรือเปล่า

เวลาบอกเขาๆ ให้เขามีความสำนึกในตัวของเขา มีศรัทธา มีศรัทธาแล้วให้ฝึกหัดปฏิบัติ เรื่องของเรา เรื่องของคนคนนั้น เรื่องของการกระทำนั้น ถ้าจิตสงบระงับแล้วถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้ไง บุคคล ๔ คู่ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เขารู้กลางหัวใจของเขา ถ้าเขารู้กลางหัวใจของเขา เขาจะฝึกหัดปฏิบัติของเขา แล้วฝึกหัดปฏิบัติของเขา นี่วิธีการปฏิบัติไง

ในปัจจุบันนี้ถกเถียงกันมาก ของเอ็งผิด ของข้าถูก มันอยู่ที่กิเลสใครผิด กิเลสใครถูกต่างหาก มันไม่ใช่มีวิธีการใครถูก วิธีการใครผิด มีแต่ว่ากิเลสของเรา ทำแล้วมันสงบไหม เรื่องของเราสำคัญ วิธีการมากมายมหาศาล เราพลิกแพลง เราพลิกแพลงให้ถูกต้องชอบธรรมได้

บางอย่าง สถานที่บางที่ เราเห็นแล้วมันรื่นเริง แต่เราขัดอกขัดใจคำสอนนั้นมากเลย เราก็ไปอาศัยที่เขา เราพุทโธๆ เขาไม่รู้กับเราหรอก ไอ้ที่บอกว่าต้องทำตามเราๆ

จริงหรือเปล่า เราทำที่เราศึกษามาก็ได้ แล้วให้มันสงบสุขเข้ามา ถ้าจิตมันสงบสุขเข้ามา มันต้องเริ่มต้นที่นี่ มันต้องแก้ที่ต้นเหตุ มันต้องแก้ที่จิตที่เวียนว่ายตายเกิด พระพุทธศาสนาสอนที่นี่

หัวใจของพระพุทธศาสนา การประพฤติปฏิบัติแนวทางสติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา ในอริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ อย่างอื่นไม่มี อย่างอื่นไม่ได้สอน อย่างอื่นนั้นมันเป็นเรื่องจริตนิสัยไง เรื่องฌานโลกีย์ไง เรื่องฤๅษีชีไพรไง เรื่องที่เขาทำกันมาหมดแล้วไง แล้วก็ทำกันอยู่อย่างนั้นน่ะ นั่นน่ะคืออาการของจิต จิตส่งออก มันไม่เกี่ยวกับอริยสัจเลย มันไม่เกี่ยวกับเรื่องของเราเลย

เรื่องของเราคือเรื่องทุกข์นี่ไง แล้วทุกข์นี้แก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้เพราะอะไร แก้ไม่ได้เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ตายไปแล้วมันไม่จบไง มันหมุนไปตลอด เพราะมันเป็นต้นเหตุแห่งการเกิดและการตาย

นี้เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านชำระล้างกิเลส กิเลสตาย กิเลสตายออกไปจากจิตทั้งหมด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณทำลายพญามาร ทำลายเรือนยอดของเรือน ๓ หลัง นั่นล่ะผู้คุมนโยบาย แล้วก็มีความโลภ ความโกรธ ความหลง ลูกสาว ๓ คน มีลูกมีหลาน ตายหมดเลย ตายทั้งสิ้น เวลากิเลสตาย ไม่มีทุกข์ ทุกข์เกิดอีกไม่ได้ เพราะเราไม่หลง เราไม่หลง เราไม่เปิดทาง เราไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับจิตนี้อีกแล้ว วิหารธรรม สติวินัย ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นจากตรงนั้นได้

แล้วตรงนั้น สอุปาทิเสสนิพพาน พระอรหันต์ที่ดำรงชีวิตอยู่ เวลาตาย เศษส่วน สะคือเศษส่วน เศษส่วนคือร่างกายเรานี้ แต่ในเมื่อมันสิ้นกิเลสแล้ว วิหารธรรม คำว่า วิหารธรรม ในความปกติสุขไง วิหารธรรม วิหารธรรมอันนั้น เห็นไหม นี่ไง ที่ว่าแก้ทุกข์ไง

ทุกข์ เหตุที่เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ นิโรธๆ ดับทุกข์ ดับด้วยบุคคลคู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ เวลาครูบาอาจารย์ของเราฝึกหัดปฏิบัติมาอย่างนั้นแล้ววางแนวทางไว้ไง ถ้าฝึกหัดปฏิบัติมาเป็นข้อเท็จจริงอย่างนั้น ถ้าข้อเท็จจริง

ที่เราไปวัดไปวากัน ที่เราจะฝึกหัด ฝึกหัดเพราะทำได้ไง ทำได้เพราะอะไร เพราะทุกคนมีหัวใจไง ทุกคนมีพุทธะในหัวใจไง แต่ทุกคนไม่รู้จักพุทธะของตัวไง รู้จักแต่อารมณ์ รู้จักแต่มารมันปั้นแต่งไง มันถึงเป็นโลกไง แล้วดูสิ คนที่เลว เลวทราม รกโลกเลยล่ะ

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง ตัด ฆ่ากิเลส ตัดป่าทั้งป่า ไม่ได้ตัดต้นไม้แม้แต่ต้นเดียวไง

กิเลสเป็นนามธรรมๆ ในหัวใจของตนนี่ไง เวลามันประหัตประหารไง ด้วยธรรมจักร ด้วยกงล้อธรรมจักร เห็นไหม

กงล้อธรรมจักรเป็นสัญลักษณ์ เวลาเขาขุดค้นทางวัฒนธรรม ทุกยุคทุกสมัยจะเห็นธรรมจักร ในแว่นแคว้นที่นับถือพระพุทธศาสนาเขาจะเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระธรรมๆ คือธรรมจักรนั่นไง ไปขุดค้นทางศิลปวัฒนธรรม เขาจะเจอธรรมจักร แล้วธรรมจักรนั่นสัญลักษณ์ไง

แต่ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาจักรมันเคลื่อน กงล้อแห่งมรรคมันเคลื่อน กงล้อแห่งมรรคมันเกิดน่ะ กงล้อ ดำริชอบ งานชอบไง ความดำริ ความชอบธรรม เห็นไหม

เราเกิดมาเราต้องมีหน้าที่การงาน หน้าที่การงานขึ้นมา ทำด้วยความธรรมาภิบาลบนความถูกต้องชอบธรรม เวลาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเรามีตัวมีตนของเรา มันไม่ชอบธรรมหรอก เพราะอะไร เพราะมันเจือไปด้วยกิเลส มันมีสมุทัยคือความอยากได้ อยากดี อยากเด่น อยากจะเป็นนั่นน่ะ เพราะความอยากจะเป็น ฉะนั้น ปฏิบัติด้วยความอยากจะเป็น หลวงปู่เสาร์ถึงว่า ท่านสอน สอนให้วางไว้

โดยธรรมชาติของเรา เรามีอวิชชา เรามีความไม่รู้ เรามีพญามาร มันครอบงำหัวใจของเราอยู่แล้ว แล้วเวลาฝึกหัดปฏิบัติ พอมันยุมันแหย่ขึ้นมา ลูกหลานมัน มันจรมา สิ่งที่จรมาคืออารมณ์ความรู้สึกมันจรมา มันจรมา มันทำให้เราล้มลุกคลุกคลานทั้งนั้นน่ะ

เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา สิ่งที่จรมาๆ เราควบคุมมันไม่ได้ไง ถ้าเราควบคุมมันไม่ได้ เราต้องฝึกหัดให้เราควบคุมเราได้ ถ้าควบคุมได้ เรียกว่า ชำนาญในวสีไง

อารมณ์ความรู้สึกเกิดจากจิต แต่ถ้าเรามีสติปัญญาเท่าทันมันแล้ว เราแยกเราแยะได้ไง เรื่องของเราๆ ไง หน้าที่ของเรา หน้าที่การฝึกหัดปฏิบัติของเรา หน้าที่หัวใจของตนไง

ถ้าคนบุคคลจะเป็นอภิชาตบุตร จะเป็นคนที่ดีงาม เขาต้องฝึกหัดหัวใจของเขา ถ้าเขาฝึกหัดหัวใจ

ฝึกหัดหัวใจทำไม

เห็นไหมล่ะ ดูเด็กๆ สิ มันดูดบุหรี่ไฟฟ้า มันทันสมัย มันไม่เท่าทันมันหรอก แล้วสิ่งที่มันดูดบุหรี่ไฟฟ้ากันตอนนี้กำลังเห่อเหิมเลยล่ะ ว่ามันเท่าทันไหม มันว่ามันเป็นประโยชน์ นี่เท่าทันไหม

แล้วถ้าเราทำความสงบของใจไม่ได้ มันก็เป็นแบบนั้นน่ะ ธรรมมือเปล่า สักแต่ว่า เราปฏิบัติแล้วไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ไอ้บุหรี่ไฟฟ้ามันเห็นโทษมาตั้งแต่ต้น แล้วบุหรี่ไฟฟ้ามันเลวร้ายที่ว่าเขาผสมยาเสพติด จากคำว่า บุหรี่ไฟฟ้า” มันเป็นน้ำยาเขาผสมยาเสพติด แล้วผสมอย่างไรก็ได้ เขาสามารถคอนโทรลชีวิตคนที่สูบได้เลย นี่น่าวิตกกังวลในผู้ที่เขามีสติปัญญา

แล้วถ้าเรื่องของเราล่ะ อารมณ์เราเป็นอย่างนั้นไหม อารมณ์เราดิ้นรนขนาดนั้นไหม ถ้ามีสติปัญญามันเท่าทันตรงนี้ไง มันไม่ใช่ธรรมมือเปล่า

มือเปล่าคือมันว่างเปล่า มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง แต่การฝึกหัดปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกหัดมานะ เริ่มต้นเลย สติขาดไม่ได้ ถ้าขาดสติ การกระทำนั้นสักแต่ว่ากระทำ คือกระทำโดยที่ไม่มีใครรับผิดชอบ

ถ้ามีสติ มันควบคุมตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ สติมันควบคุมขึ้นไปตลอด แล้วสติควบคุมไปแล้ว ฝึกหัดจนสติกับเราเป็นเนื้อเดียวกันเลย แล้วฝึกหัดจนสติปัญญากับเราเป็นเนื้อเดียวกันแล้วฝึกหัดปฏิบัติไป

ถ้าจิตมันสงบแล้ว ถ้าไม่มีวาสนาขนาดไหน ทำแล้วน้อมไปๆ ถ้ามันเห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม มันต้องเห็นจิตของมัน

ไม่เห็นกายก็ได้ ไม่เห็นเวทนาก็ได้ เห็นธรรมๆ ธรรมมันเกิดไง มันเกิดดับไง สิ่งที่เกิดดับกับใจของตน เกิดแล้วมันมีความสุขหรือมีความทุกข์ เกิดแล้วมันวิตกกังวลหรือไม่ เวลาเกิดขึ้นมาแล้วมันจับมันต้องของมัน มันก็เกิดๆ ดับๆ อยู่อย่างนี้ แล้วทำไมตื่นเต้นไปกับมัน

ตื่นเต้นไปกับมันเพราะเอ็งขาดสติไง ถ้ามีสติขึ้นมามันจะดีงามของมันขึ้นไป พอมันดีงามของมันขึ้นไป มันพัฒนาของมันขึ้น ชำนาญในวสีไง

ที่ว่าธรรมจักรที่เป็นสัญลักษณ์ๆ เวลามันเกิดกับใจ นี่โลกกับธรรม

โลกเป็นโลก เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นข้อเท็จจริง เป็นสูตรสำเร็จ

ธรรม มันเกิดจากวาสนา มันเกิดจากเวลาจิตมันฝึกหัดใช้ปัญญา

ปัญญาถ้ามันจะเกิดเองๆ นี่ปัญญาโลก ปัญญากิเลสหลอก ปัญญาของมาร อ้างธรรมะ กิเลสบังเงา

เวลาถ้ามันจะเกิดภาวนามยปัญญา มันเหมือนสุดวิสัย เฮ้ย! เฮ้ย! มันจะ เฮ้ย! ทำไมมันเป็นอย่างนี้ไง เวลามันเกิด ฝึกหัด เพราะมันไม่เคยรู้เคยเห็นน่ะ

พอมันเกิดภาวนามยปัญญา ภาวนามยปัญญา เห็นไหม เวลาธรรมะที่เขาพูดกันน่ะ มันไม่ใช่ปัญญาสมอง สมองมันเป็นปัญญาจำ

ปัญญามันเกิดจากจิต ให้จิต ให้ความรู้สึกกับจิตมันตรงกัน ให้ความเห็นของเรามันตรงกับธรรม เวลามันตรงกับธรรม เวลามันเกิด

เพราะคนที่ฝึกหัดมีพญามาร มีอวิชชา มีความไม่รู้ อยู่กับความไม่รู้ทั้งนั้น อยู่กับกิเลสมาทั้งนั้น เวลาทำไปๆ เราฝึกหัดปฏิบัติธรรม เวลาธรรมมันเกิดไง

เวลาเกิดกงจักร ทุกข์เจียนตาย เวลาเกิดธรรมจักร เอ๊อะ! เอ๊อะ! อยู่นั่นน่ะ

ฝึกหัด เพราะเวลาคนเห็นกายนะ เวลาเห็นกายโดยข้อเท็จจริง เห็นแล้วมันสะเทือนใจมาก แล้วจับต้องสิ่งใด แล้วทำสิ่งใดให้เป็นผลงานของตัวทำไม่ได้ วาสนามีเท่านั้นน่ะ ถ้ามีวาสนาขนาดไหน วาสนาคือเกิดแก่การกระทำ ถ้าวาสนาแค่นั้น แต่เราได้เห็นกาย เราก็จะฝึกหัดของเราขึ้นมา การเห็นกายนั้นต้องเป็นสัมมาสมาธิ จิตสงบมันถึงจะเห็นอย่างนั้นได้

ถ้าจิตเราไม่เป็นสมาธิ เราไม่สงบ เราก็จะเห็นแบบทางการแพทย์เขาเตรียมผ่าตัด เขาเตรียมพร้อมทุกอย่าง แล้วเขาเข้าใจหมด เขาจะกรีดตรงไหน เขาจะตัดตรงไหน เพียงแต่ว่าเคสนี้มันเป็นอะไรมา จะผ่าตัดเรื่องอะไร จบหมดน่ะ เห็นอย่างนั้นเห็นวิชาชีพ

แต่ถ้าการเห็นโดยฝึกหัดใช้ปัญญา มันเห็นเราให้เราได้สืบต่อ คือการเห็นแล้วการฝึกหัดเขาเรียกว่าวิปัสสนาอ่อนๆ คือเราจะเริ่มฝึกหัดวิปัสสนาแล้ว

สมถกรรมฐาน ฐานคือใจของตน สมถกรรมฐานคือภวาสวะ

“จิตเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร”

นั่นน่ะคือสัมมาสมาธิ นั่นล่ะคือสมถกรรมฐาน แล้วถ้าปัญญามันเกิดบนจิต เกิดบนสมถกรรมฐานไง มันถึงไม่ได้มีปัญญาแบบสมอง ปัญญาแบบสมอง ปัญญาแบบจินตนาการมันเกิดจากสมอง มันเกิดจากการสัญญา มันเกิดจากการคาดเดาสันนิษฐานเอาไง

ปฏิบัติธรรมไม่รู้เรื่องอะไรเลย “สันนิษฐานว่า สันนิษฐานว่า” มันไม่จริง ถ้ามันไม่จริงมันเป็นสันทิฏฐิโกไม่ได้ เพราะมันไม่จริงมันเลยสงสัย มันเลยมีปมในใจ

แต่เวลาฝึกหัดใช้ปัญญาๆ มันคลี่คลายหมดนะ มันมีปมที่ไหน สงสัยเรื่องอะไร อะไรมันคาใจ มันเริ่มฝึกหัดวิปัสสนาอ่อนๆ วิปัสสนาอ่อนๆ ต้องมีสัมมาสมาธิเป็นพื้นฐาน ต้องมีสติควบคุมดีงาม แล้วฝึกหัดของเรา ฝึกหัดของเราไป

พอฝึกหัดของเราไป ถ้ามันไปได้ เพราะมันมีสมาธิเป็นพื้นฐาน มีกำลัง แล้วพอทุกการทำงานทุกคนต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นเรื่องธรรมดา พอมันเหน็ดเหนื่อยขึ้นมา กำลังมันก็เบาลง คือสมาธิมันอ่อนลงนั่นแหละ พอสมาธิมันอ่อนลง มันเป็นสมองแล้วล่ะ มันเป็นสัญญา สัญญาคือขันธ์ ๕ คือประสบการณ์ เราเคยทำอะไร ทำสิ่งใด จำได้หมด

แล้วเวลาถ้ามันจะเป็นภาวนามยปัญญา คือมันเคลื่อนไปโดยธรรมจักร โดยกงล้อ ๘ ซี่ มันเกิดจากจิต มันเป็นปัจจุบันขณะที่มันเป็น มันเป็นรสชาติอีกอย่างหนึ่ง นี่มีรสมีชาติ รสของธรรมชนะซึ่งรสทั้งปวง

แล้วเคยได้สัมผัสได้ลิ้มรส มันรู้จัก แล้วใช้จนเพลิน ใช้จนเพลินจนกิเลสมันแข็งกล้าขึ้นมา มันก็บอก “ข้ารู้แล้ว ข้าก็ปฏิบัติได้ มันต้องพิจารณาอย่างนี้” สัญญาทั้งนั้นเลย

สัญญาคือสมองไง สัญญาคือประสบการณ์ เอาประสบการณ์นั้นมาเทียบเคียง แต่ไม่ใช่จริง มันก็เลยแค่นั้นน่ะ แล้วไม่รู้สึกตัว

แต่เวลาปฏิบัติไปพอรู้สึกตัว เอ๊อะ! แล้วพอรู้สึกตัว การทำสมาธิต้องชำนาญในวสี ชำนาญในเหตุและผลเพื่อรักษาความสงบของใจ เพื่อรักษากำลังอันนั้น

การยกขึ้นสู่วิปัสสนา ถ้ามีสมาธิ มีกำลังพอ เวลาพิจารณาไปมันจะหมุนของมันไป แล้วการหมุน มันหมุนแต่ละครั้ง กิเลสมันคอยลิดคอยรอน คอยทำลาย คอยทำให้เราผิดพลาดพลั้ง การประพฤติปฏิบัติของเราที่มันทุกข์มันยากมันลำบากเพราะกิเลสของเราทั้งสิ้น

ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำเร็จรูปมาเลยนะ ภาคปริยัตินั่นน่ะสำเร็จรูปมาเลย เป็นสูตรเลย เป็นสูตรนะ เป็นสเต็ปด้วย ๑ ๒ ๓ ๔ บุคคล ๔ คู่ เป็นอย่างนั้นเลย แต่เราทำไม่เป็น พอเราทำของเราไม่เป็นไง เราทำของเราไม่ได้ไง เวลาทำไม่เป็น ทำไม่ได้ มันก็เสื่อมสภาพไง เวลาเสื่อมสภาพไปมันก็ทุกข์มันก็ยาก

เวลาทุกข์ยาก เวลาทำที่ว่าชำนาญในวสีในการทำความสงบของใจ เวลาฝึกหัดปฏิบัติใช้ปัญญาไปแล้ว เอ๊อะ! มันขัดมันแย้งทั้งนั้นน่ะ แล้วมันขัดมันแย้งคราวนี้มันมีปัญหาแล้ว อะไรเป็นปัญญา อะไรเป็นสมาธิ แล้วจะตั้งตรงไหน แล้วจะเริ่มต้นอย่างไร จะท่ามกลางอย่างไร จะสิ้นสุดอย่างไร

มันต้องฝึกหัดของมัน ฝึกหัดโดยความชำนาญ เห็นไหม

พระสารีบุตรปัญญาวิมุตติ ปัญญาเป็นตัวนำ

พระโมคคัลลานะเจโตวิมุตติ สมาธิเป็นตัวนำ

สมาธิเป็นตัวนำมันต้องสมาธิมีกำลัง สมาธิเป็นหลักมากกว่า

ถ้าปัญญาวิมุตติ ปัญญาเป็นตัวนำ ปัญญาเป็นคนแยกแยะว่ามันควรจะทำความสงบแค่ไหน จะใช้ปัญญาอย่างใด แล้วเวลามันใช้ของมันไป เวลาชำนาญในวสีมันเพื่อความสงบสุข

ถ้าเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาที่เราเกิดขึ้นมา นี่ความเพียรชอบไง ถ้าความชอบธรรมมันเกิดขึ้น พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สิ่งที่รู้ที่เห็นมันจะเป็นความสมดุลของมัน มันจะเป็นทางสายกลาง มันเป็น มัคโค ทางอันเอก ทางอันเอกจากการกระทำของตนไง แล้วเวลาถ้ามันจะรู้มันจะเห็น มันจะรู้จากใจดวงนี้ มันถึงเป็นสันทิฏฐิโก รู้เฉพาะใจดวงนี้ รู้เฉพาะใจดวงนี้ มันเป็นผลงานของใจดวงนี้

ใจดวงนี้ที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่ เพราะมันมืดมันบอด มันไม่เข้าถึงใจดวงนี้ แล้วที่เราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ทำสมถกรรมฐานมันเข้าสู่ใจดวงนี้ แล้วใจดวงนี้ฝึกหัดใช้ปัญญาๆ ก็ปัญญาของใจดวงนี้

แล้วถ้ามันเสื่อม มันล้มเหลว ล้มเหลวก็กิเลสมันคอยต่อคอยต้าน คอยพลิกคอยแพลงไง กิเลสเพราะอะไร กิเลสอยู่ที่ฐีติจิต กิเลสมันอยู่ที่จิตบ้านใหญ่ของมัน อยู่ที่จิตใต้สำนึก จิตก่อนสำนึกอยู่ที่ก้นบึ้งของจิตเลย เพราะบุคคลคู่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ ต้องเข้าถึงตรงนั้นไง เข้าถึงตรงนั้นน่ะ ภพ ฝังดินไว้ไง

สิ่งที่เป็นนามธรรมๆ ที่ใครไม่รู้ไม่เห็นนั่นแหละ สิ่งนั้นล่ะข้อมูลเดิม ข้อมูลใหญ่เลย

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้นี้หมองไปด้วยอุปกิเลส

จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส จิตเดิมแท้ต้องเป็นผู้ข้ามพ้นกิเลส

จิตใต้สำนึกไอ้ผ่องใสๆ ไอ้ที่ภวาสวะ ที่ภพนั่นล่ะ เวลามันถึงที่สุดแล้วมันจะเกิดความมัธยัสถ์ แล้วเกิดทำลายตัวมันเอง ทำลายเรือนยอดของเรือน ๓ หลัง มันมหัศจรรย์ขนาดไหน

เวลาคนที่ฝึกหัดปฏิบัติที่มันล้มลุกคลุกคลาน ที่มันเหลวไหลอยู่นี่ ที่มันทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันนี่แหละ ถ้ามันเป็นจริงเป็นจัง มันเป็นสันทิฏฐิโก มันเป็นจริงเป็นจังในหัวใจดวงนั้น ถ้าหัวใจดวงนั้นที่มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาแล้ว หัวใจดวงนั้นจะมีอะไรเป็นความลึกลับซับซ้อน มันจะมีกิเลสตัวไหนวะ กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างละเอียด ละเอียดสุด กิเลสตัวไหนวะจะมาหลอกหัวใจดวงนี้ ถ้ามันหลอกหัวใจดวงนี้ไม่ได้ หัวใจดวงนี้ก็เป็น เอโก ธมฺโม ไง

เอโก ธมฺโม หนึ่งไม่มีสองในพระพุทธศาสนาไง

ในพระพุทธศาสนา หนึ่งไม่มีสอง เห็นไหม ชีวิตคืออะไร คือพลังงาน พลังงานมันลากไปนะ โอ้โฮ! สัพเพเหระร้อยแปด เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดในมนุษย์ เกิดในนรกอเวจีแล้วแต่ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา

ในปัจจุบันนี้ไง เราได้สร้างบุญสร้างกุศลของเรามา หน้าที่การงานหาอยู่หากินมันเป็นหน้าที่ของคน ทางฆราวาสเป็นทางคับแคบ เราต้องรับผิดชอบกับชีวิตนี้ รับผิดชอบกับชาติตระกูลของตน รับผิดชอบกับตำบล หมู่บ้าน อำเภอ จังหวัด ประเทศ รับผิดชอบทั้งนั้น ถ้าคนเป็นสุภาพบุรุษ

สิ่งที่เราทำมานี้เป็นหน้าที่การงาน ทางฆราวาสเป็นทางคับแคบ คับแคบเพราะหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบ แล้วทางปฏิบัติล่ะ ไหว้พระ สวดมนต์ ตอนเช้า ตอนเย็น นั่งสมาธิได้นิดหน่อย เวลาทำหน้าที่การงานก็โหยหาอยากไปวัด อยากจะปฏิบัติ อยากจะจิตใจให้มันมั่นคง

ถ้ามีอำนาจวาสนา ละ แล้วมาบวชพระ ทางสมณะเป็นทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง เวลานะ เวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลาปฏิบัติไปแล้วถ้าจิตมันสงบ โอ้โฮ! มันขยายได้มากกว่านั้นอีก มันรู้มันเห็นไปหมด มันมีความมหัศจรรย์ไปหมด แล้วมีการกระทำขึ้นมาในหัวใจของตน แล้วหัวใจที่มันดีงามของมันขึ้นมาแล้วมันเกิดธรรมสังเวชตลอด

เวลาครูบาอาจารย์ของเราไง เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก มันเหนือโลก พ้นจากโลก พ้นจากวัฏฏะ

แต่ถ้าเป็นเรื่องของศรัทธา มันต้องกลับมาไง มันต้องกลับมาคลุกกับสิ่งที่ว่าเป็นกิเลสในใจของคน นี่ครูบาอาจารย์ท่านบอก ถังขยะ สุดท้ายเราก็ต้องลงมาอยู่ถังขยะ ถ้าจะเป็นประโยชน์ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์

พระอัญญาโกณฑัญญะเป็นสงฆ์องค์แรกของโลก เป็นพระอรหันต์ ไม่ออกมาสังคมเลย อยู่ในป่าในเขาตลอดจนวันจะปรินิพพาน ไปกราบลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระไม่รู้จักนะ ไม่มีใครรู้จักพระอัญญาโกณฑัญญะ ทั้งๆ ที่เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก ไม่มายุ่งเกี่ยวกับใครเลย อยู่ในป่าในเขาจนปรินิพพานไป

เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างอำนาจวาสนามาอย่างนั้น ท่านก็ทำเพื่อตัวท่านก่อน ถ้าทำ ต้องสอนตนให้ได้ก่อน ถ้าสอนตนได้แล้ว ถามมา ถามมาเลย ปฏิบัติ ถามมา

ถ้าสอนตนไม่ได้ ถามมาแล้วมันจนตรอกไง ถามมาแล้วตอบไม่ได้หรอก เพราะว่าแค่สมาธิ ในปัจจุบันนี้การทำความสงบของใจทำกันอย่างไร ถ้าทำความสงบของใจมันก็เหมือนสิ่งที่เป็นบาทฐานเริ่มต้นของการฝึกหัด ถ้าบาทฐานเริ่มต้นของการฝึกหัดมันไม่ได้ มันก็เป็นเรื่องของพญามารทั้งสิ้น

วิธีการเอามาวิเคราะห์วิจัย แค่วิธีการ นั่งนิ่งๆ หลับตา ถ่ายรูป แหม! มันสวยงามมาก แต่หัวใจล่ะ ใครเห็น หัวใจมันทุกข์ขนาดไหน ให้นั่งนิ่งๆ ถ่ายรูป สื่อสารกันออกมา นั้นน่ะมันเป็น ถ้าในทางโลกในปัจจุบันนะ เราทำตุ๊กตาไว้เยอะแยะไปหมด ตุ๊กตาตามวัด เป็นตุ๊กตาสามเณรน้อย ตุ๊กตาพระเต็มไปหมด มันนั่งนิ่งๆ มันไม่ขยับเลย

แต่ของเราล่ะ เรามีหัวใจ เรามีความรู้สึก ถ้าจิตสงบ สุขมาก สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ถ้ามีวาสนา เราไม่ติดสุขอย่างนี้ เพราะติดสุข เดี๋ยวมันก็เสื่อม มันไม่จีรังถาวร แต่ถ้าฝึกหัดปฏิบัติ เวลากิเลสมันขาด ดั่งแขนขาด อกุปปธรรม

อกุปปธรรมคือมันไม่เสื่อม พาดกระแส อีก ๗ ชาติ สกิทาคามี อนาคามีไม่เกิดบนกามภพ ไม่เกิดเป็นเทวดา ไม่เกิดอีกแล้ว เกิดบนพรหมเท่านั้น เวลาสิ้นกิเลส จบ เอโก ธมฺโม ธรรมอันเอก เป็นสิทธิของชาวพุทธทุกๆ ดวงใจ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อหัวใจของสัตว์โลก รื้อหัวใจของชาวพุทธ ชาวพุทธถ้ามีอำนาจวาสนาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติจนเป็นสมบัติของตน เอวัง