เทศน์บนศาลา

กิเลสแกล้งตาย

๒ ส.ค. ๒๕๖๘

กิเลสแกล้งตาย

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์บนศาลา วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๘

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ธรรมะเป็นสัจธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นเจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่ท่านมีอำนาจวาสนาของท่าน ท่านได้ฝึกหัดประพฤติปฏิบัติของท่านจนถึงที่สุดแห่งทุกข์

วิมุตติสุขๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอยู่ ๔๕ ปี สิ่งที่สัจจะเป็นความจริงอันนั้นเป็นความจริงในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมๆ ไง เป็นสัจจะเป็นความจริงทั้งนั้น

แต่สมัยพุทธกาลนั้น ผู้ที่ลัทธิต่างๆ เขาก็ไม่เชื่อถือในพระพุทธศาสนามากมาย ความมากมายของเขามันก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของสัตว์ ถ้ามีอำนาจวาสนาของสัตว์

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาฟังธรรมๆ มันทิ่มแทงหัวใจของตนไง คำว่า ทิ่มแทงหัวใจของตน ชีวิตเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่ออะไร เกิดมานะ เกิดมาโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เกิดมาด้วยความทุกข์ความยาก ความทุกข์ความยากของกิเลส กิเลสสำมะเลเทเมาพาชีวิตของเราล้มลุกคลุกคลานมาตลอด

ถ้าเป็นธรรมๆ ขึ้นมา จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดไหนถ้ามันมีธรรมของมัน เห็นไหม ในสมัยพุทธกาล ยาจกเข็ญใจ ถ้าศรัทธาในพระพุทธศาสนา เขารับจ้างทำมาหากินนะ รับจ้างเขา เงินทองไม่มีพอจะยาไส้

มันมีครอบครัวหนึ่งมีผ้าผืนเดียว เวลาจะออกจากบ้านไปต้องผลัดกันออกจากบ้านได้คนเดียว เพราะมีผ้าผืนเดียว เวลาไปฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรมๆ ขึ้นมา ตั้งแต่หัวค่ำว่าจะเสียสละผ้านั้น ก็คิดถึงว่าถ้าเสียสละไปแล้ว แล้วภรรยาที่บ้านจะไม่เอ็ดเอาหรือ จนเที่ยงคืน จนเกือบโน่นน่ะถึงได้ถวายผ้านั้น

พอถวายผ้านั้น บอก ชนะแล้วๆ ชนะอะไร ชนะความตระหนี่ถี่เหนียว ชนะกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตนไง เพราะทั้งครอบครัว ทั้งสามีภรรยามีผ้าอยู่ผืนเดียว การเสียสละ เสียสละอย่างนั้น เห็นไหม

เวลาฟังเทศน์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลากษัตริย์ที่ฟังอยู่ด้วย ชนะแล้ว ชนะอะไร ไม่มีเห็นมีศึกมีสงครามสิ่งใดเลย นี่ไปถาม ชนะอะไร

ชนะ ชนะที่ความตระหนี่ในใจ ไม่มีสิ่งใดเลย ทั้งเนื้อทั้งตัวมีผ้าผืนเดียว แล้วจะเสียสละไป มันไม่ใช่เฉพาะตัวคนเดียวนะ ภรรยาที่บ้านจะคิดอย่างไร พอกษัตริย์ได้ยินอย่างนั้นนะ ให้ผลตอบแทนมากมาย

เวลาถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของตน ถ้าเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาในหัวใจของตน มันมีสติมีปัญญา ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมา ฟังธรรมๆ ฟังธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันเป็นเรื่องในหัวใจของเรา

ถ้าเป็นเรื่องในหัวใจของเรา เห็นไหม เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนามากน้อยขนาดไหน ถ้าเรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนาไง วิมุตติสุขๆ

แต่ทำไมเรามันทุกข์ขนาดนี้ล่ะ มันทุกข์เพราะอะไรล่ะ

มันทุกข์เพราะกิเลสมันบีบคั้นไง

ถ้ามันบีบคั้น ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไง ศีล สมาธิ ปัญญา ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี้เพราะความเห็นผิดของตน ถ้าความเห็นผิดของตน ถ้ามีศีลมีสัตย์ของตน มีศีลมีสัตย์ มีรั้วรอบขอบชิด แล้วถ้าทำสิ่งใดขึ้นมามันก็เป็นกรรมของสัตว์ สัตว์มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนก็อยู่ที่อำนาจวาสนาของเขา

ถ้าเรามีอำนาจวาสนาแล้ว เรามีศรัทธาในพระพุทธศาสนามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระ เป็นพระปฏิบัติเสียด้วย ถ้าพระปฏิบัติๆ เวลาครูบาอาจารย์ของเราไม่ติดในโยม ไม่ติดในอาหาร ไม่ติดในสถานที่ ไม่ติดใดๆ ทั้งสิ้น

เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ ไม่ติดสถานที่ แล้วสถานที่เป็นสัปปายะอย่างไรล่ะ เพราะเราไม่ติดมันไง ไม่ติดมันก็ไม่ติดที่มันอบอุ่น ที่มันแบบว่ามันอ่อนนุ่ม ที่มันพอใจ นี่ติดในสถานที่

แล้วถ้าเป็นสัปปายะๆ นี่ไง ธุดงควัตรไง อัพโภกาสิกังคะ ร้านเรานี่แหละ เวลาเราฝึกหัดประพฤติปฏิบัติใหม่เราก็อยู่อย่างนี้ แล้วมันสบาย รูดผ้าออกไป โอ้โฮอากาศมันปลอดโปร่งนะ อัพโภกาสิกังคะ เรือนว่าง นี่สถานที่เป็นสัปปายะ

อาหารเป็นสัปปายะ สิ่งใดก็แล้วแต่ที่มันพอดำรงชีวิตไว้ไม่ให้มันสัปหงกโงกง่วง

หมู่คณะเป็นสัปปายะ หมู่คณะที่ดีงาม นี่เป็นบุญและบาปของคนนะ

ในสมัยพุทธกาล ในพระไตรปิฎกมากมาย เวลาพระไปสถานที่ใดนะ ทั้งกีดทั้งขวาง ทั้งกลั่นทั้งแกล้งร้อยแปด สุดท้ายแล้วนะ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดีงาม อย่างเช่นหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นเป็นพระอรหันต์ไง

ในสมัยพุทธกาลนะ พระอรหันต์ก็วิเวกไป ไปพักที่ไหนขึ้นมาเขาก็สงบสงัดของเขา ไอ้พระเจ้าถิ่นนั่นน่ะ มันทั้งกลั่นทั้งแกล้ง ทั้งโจมตี

เวลาพระอรหันต์ พระอรหันต์เขาไม่ติดในอะไร วิมุตติสุขในหัวใจ ดำรงธาตุขันธ์นี้ไว้ รอ รอเวลาถึงที่สุดถึงกาลเวลาเท่านั้น

“สมควรแก่กาลเวลาของเธอเถิด”

พระอรหันต์ไง เขาไม่มาวุ่นมาวายกับเรื่องโลกธรรม ๘ หรอก แต่ไอ้เจ้าถิ่นนั่นน่ะมันหวง มันกลัว มันกลัวว่าเขาจะมาแย่งชิงลาภสักการะไปไง ทั้งกลั่นทั้งแกล้ง เวลาสิ้นชีวิตไปตกนรกอเวจี

เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ในสมัยพุทธกาลไง “เวลาพระเกิดมาแล้วทำไมเป็นอย่างนั้น”

นี่เวรกรรมของเขา เขาทำของเขามาไม่ใช่เฉพาะชาตินี้หรอก เขาทำมาแล้วกี่ภพกี่ชาติไง

ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์ที่ดีงามไง ที่ดีงามนะ เรื่องของโลกก็อยู่กับโลกเขา เราก็เกิดมากับโลก พระเราเกิดมาแล้ว ๗ ชั่วโคตร ขอได้ พูดได้ นี่เวลาขอได้ แต่ถ้าไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา นิสสัคคิยปาจิตตีย์นะ ได้มาเป็นอาบัติทั้งนั้นน่ะ แล้วไปได้มาเพื่ออะไร

ถ้าไม่ติดในลาภสักการะ ไม่ติดในสถานที่ ไม่ติดในอาหาร ไม่ติดใดๆ ทั้งสิ้น แล้วจะฝึกหัดปฏิบัติของเรา แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติของเรานะ ไม่ติดในอารมณ์

อยากจะปฏิบัติๆ เวลาศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมีวาสนานะ กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญจากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านฝึกหัดประพฤติปฏิบัติถึงที่สุดแห่งทุกข์ ท่านเป็นพระอรหันต์

ท่านเป็นพระอรหันต์นะ ในประวัติหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง ท่านก็อยู่ของท่านในความสงบสงัด ในวิเวก ตามแต่จริตนิสัยของท่าน ทั้งชีวิตของท่านไง เทศนาว่าการนะ

คนที่ฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาล้มลุกคลุกคลาน ล้มลุกคลุกคลานหาทางออกไม่ได้ไง นี่ไง หลวงปู่เกิ่ง ญัตติทั้งวัดเลย ผู้ที่ปฏิบัติแล้ว หลวงปู่แหวน หลวงปู่ฝั้น หลวงปู่ขาว พระมหานิกายทั้งนั้น บวชวัดบ้านๆ นี่แหละ แต่บวชมาแต่ละองค์มันมีประวัติมา หลวงปู่ฝั้นท่านก็เป็นลูกเจ้าเมือง บวชมาแล้วท่านบวชมาด้วยบุญด้วยกุศลของท่าน หลวงปู่ขาวผิดหวังจากภรรยามีชู้ นี่ไง ครูบาอาจารย์แต่ละองค์ท่านก็มีที่มาของท่านเวลาจะออกบวชไง

บวชเพราะอะไร

เพราะชีวิตนี้มันทุกข์มันยาก ชีวิตนี้มันไม่มีสิ่งใดที่เป็นข้อเท็จจริง มันเรื่องกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น มาบวชพระ บวชเป็นพระมหานิกาย ถึงเวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น กิตติศัพท์กิตติคุณของท่าน ท่านปฏิบัติของท่าน ได้ยินชื่อได้ยินเสียงของท่าน พยายามแสวงหาไปหาท่าน ท่านฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจนครูบาอาจารย์ของเราเป็นพระอรหันต์ไปทั้งหมดเลย เป็นพระอรหันต์

เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร

เพราะท่านฝึกหัดปฏิบัติตามข้อเท็จจริง แล้วมีหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านคอยคุ้มครองดูแลไง

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านปฏิบัติของท่านขึ้นมา เวลากึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในหัวใจหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น แล้วท่านฝึกหัด ท่านดำรงชีวิตของท่านเป็นแบบอย่าง

แล้วเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา มีครูมีอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ของเราเทศนาว่าการอบรมบ่มเพาะขึ้นมาให้เราหลบหลีกทางโลกซะ โลก สิ่งที่เป็นโลกๆ โลกามิส สิ่งที่เป็นโลกเป็นโลกามิส เป็นอามิสๆ ถ้าเป็นทางโลกเขาว่าอามิสสินจ้าง

เราเอาธรรม เราเอาธรรมนะ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก ชาวพุทธๆ ที่เป็นธรรมไง เขาต้องการพระที่ดีงาม เขาต้องการพระที่อยู่ในศีลในธรรม เราอยู่ในศีลในธรรมแล้วเราไม่ติด เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งใดทั้งสิ้น

เวลาสิ่งที่ไทยทานมันล้นเหลือ มันล้นเหลือมากมาย มันขาดอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ ขาดความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ถ้าความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะในการฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ

เราเป็นพระกรรมฐานๆ พระป่า พระป่าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา วันหนึ่งๆ ๒๔ ชั่วโมง ถ้าเรามีอำนาจวาสนา อดนอนผ่อนอาหารแล้วเข้าไปเผชิญกับกิเลสในหัวใจของตนเลย ถ้าทำความเป็นจริงของเราขึ้นมามันจะเป็นบุญเป็นกุศลของเรา

ถ้ามันไม่เป็น ไม่ใช่บุญไม่ใช่กุศลของเรานะ เราฝึกหัดปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้มันเป็นจริตเป็นนิสัย

เพราะว่าสัจธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านก็เทศนาว่าการไว้แล้ว ธรรมวินัยเป็นศาสดาของเรา แล้วเราเกิดมากึ่งกลางพระพุทธศาสนา ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เรามีครูบาอาจารย์ เวลาเทศนาว่าการมันทิ่มแทงหัวใจของเราไง

ถ้ามันทิ่มแทงกิเลสในหัวใจของตน แล้วมันทิ่มแทงแล้ว ถ้าเรามีโอกาสของเรานะ เราจะมาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ แล้วถ้าฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริง ตามข้อเท็จจริงก็ตามอำนาจวาสนาของคนไง ตามอำนาจวาสนาที่ดีงามไง ประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง นี่ความเพียรชอบ

แต่ถ้าอำนาจวาสนาของเราอ่อนด้อยไง เวลาปฏิบัติไปมันจะปฏิบัติไปบูชากิเลสไง ถ้าบูชากิเลสนะ มันวางเฉย พอกิเลสมันวางเฉยนะ ฝึกหัดปฏิบัติ เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบ ถ้าสงบเข้ามามันแจ่มชัดของมัน ถ้ามันแจ่มชัดของมัน นี่ถ้าเป็นความเพียรชอบ

ถ้าความเพียรของเรามันไม่ชอบ ไม่ชอบเพราะอะไร เพราะเรามีกิเลสอยู่แล้ว แล้วเราบูชากิเลสของเราไง แล้วถ้ากิเลสมันวางเฉย นี่คือมันอยู่ที่อำนาจวาสนานะ ถ้าอยู่ที่อำนาจวาสนา เวลาภาวนาว่ากิเลสมันวางเฉย มันปล่อยวาง วางแล้วมันว่าง

มันว่างอะไร มันขาดสติอยู่นั่นน่ะ ถ้ามันขาดสติมันก็เป็นภวังค์

การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติใหม่นั่งไปแล้วจะสัปหงกโงกง่วง พอสัปหงกโงกง่วง เราเวลาเราบวชพระๆ มา เราบวชพระมาแล้วเราภูมิใจว่าเราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เวลาเราบวชพระ เรามีครูบาอาจารย์ของเรา เราบวชแล้วเราจะฝึกหัดปฏิบัติในพระกรรมฐาน

ถ้าเป็นพระวัดบ้านๆ เวลาเขาศึกษาเล่าเรียนของเขาเป็นภาคปริยัติไง เขาก็ต้องสุขสมบูรณ์ของเขา เขาฉันแต่สองมื้อสามมื้อมันเรื่องของเขา

ไอ้เราฉันมื้อเดียวๆ ไง ถ้าฉันมื้อเดียว พระกรรมฐานๆ เวลาข้อวัตรปฏิบัติของเรา กองทัพธรรม กองทัพธรรมที่หลวงปู่มั่นท่านวางวิธีการประพฤติปฏิบัติไว้ แล้ววิธีประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เพราะท่านได้ฝึกหัดปฏิบัติ ท่านได้ต่อสู้กับกิเลสในหัวใจของตน ท่านคำนวณมาแล้วไง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง เวลาตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้ว เวลาพิจารณาว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอดีตท่านทำอย่างใด อ๋อ! ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีพขึ้นมา เวลามาถวายบาตร ๔ ใบ อธิษฐานบาตรให้เหลือใบเดียว ออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพ นี่ดำรงชีวิตไง

ในพระพุทธศาสนาเวลามีพระมาบวชมากขึ้นๆ พอมากขึ้น เริ่มต้นบวชก็ถึงไตรสรณคมณ์เป็นพระได้เลย เอหิภิกขุ เอหิภิกขุก่อน “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” บวชแค่นี้

ไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อยากบวชนะ “เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด” เอหิภิกขุ พระพุทธเจ้าอนุญาตให้เป็นภิกษุ พอมากขึ้นๆ ต้องให้ถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นไตรสรณคมณ์ มากขึ้นๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางรากฐานไว้ไง ญัตติจตุตถกรรม การบวชของเรานี่ บวชมาเป็นพระๆ สมมุติสงฆ์ ถ้าสมมุติสงฆ์ขึ้นมา เวลาพระมากขึ้นก็มีธรรมและวินัย มีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา นี่พูดถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นผู้วางธรรมและวินัยนี้ไว้

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เวลาท่านฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาจนถึงที่สุดแห่งทุกข์ แล้วหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นประชุมกัน วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ไง เป็นเครื่องอยู่ของใจๆ เพราะว่าท่านฝึกหัดปฏิบัติมาแล้วเวลาล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจะไปหาใคร จะไปศึกษาอบรมกับใคร ก็รื้อค้นคว้าพระไตรปิฎกนี่แหละ รื้อค้นคว้าครูบาอาจารย์แต่อดีตท่านปฏิบัติอย่างไร ก็ทดสอบๆ มาจนเข้าไปเผชิญในความเป็นจริงในหัวใจของท่านด้วยความเพียรชอบ ความเพียรชอบก็เป็นสัมมาสมาธิ พอสัมมาสมาธิเวลายกขึ้นสู่วิปัสสนามันก็เป็นธรรมๆ

เวลาคนที่มันอ่อนด้อย เห็นไหม วางข้อวัตรปฏิบัติไว้ เพราะว่าล้มลุกคลุกคลานมา เห็นภัย เห็นภัยของกิเลสที่มันคอยทิ่มคอยตำ คอยลากชักจูงให้การฝึกหัดปฏิบัติล้มเหลว แล้วล้มเหลวแล้วกิเลสมันก็ซ้ำเติม ซ้ำเติมว่าเราคนวาสนาน้อย เราทำสิ่งใดแล้วไม่ประสบความสำเร็จไง ก็ใช้ชีวิตแบบอีลุ่ยฉุยแฉกไปไง ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์ หมกกันไว้ในชีวิตของตน

แต่ของเรา เรามาตีแผ่ ความลับไม่มีในโลก ถ้ามันจะเป็นอาบัติ มันจะทุศีล มันจะเป็นอลัชชี เราพยายามฝืน เราไม่ไปกับมัน เราไม่ทำอย่างนั้น

เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา ความเพียรชอบ มีสติมีปัญญา ถ้าทำแล้วมันจะลงสู่ความสงบไง ศีล สมาธิ ปัญญา

แต่ถ้าบูชากิเลสๆ ด้วยความอ่อนแอ ความอ่อนด้อย กิเลสมันวางเฉย รู้เฉย นั่นภวังค์ทั้งนั้นน่ะ รู้เฉยๆ เฉยไปไหน แล้วเฉยแล้วมีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้ามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมามันเป็นเครื่องอยู่ของใจ ถ้าเครื่องอยู่ของใจมันชัดเจนของมัน ถ้ามันชัดเจนของมัน เวลามีสติสัมปชัญญะขึ้นมาไง พุทโธๆๆ ความเพียรชอบมันก็อยู่ความสงบระงับเป็นสัมมาสมาธิ

ถ้าวางเฉย วางเฉยด้วยความอ่อนแอ ด้วยความเกียจคร้าน ด้วยความไม่เห็นสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน จิตใจเรามันก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเหมือนกัน

ถ้าเรามีคุณสมบัตินะ เราเคารพบูชา เรามีข้อวัตรปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเป็นชิ้นเป็นอัน เราก็มีจุดยืนของเรา มันจะเป็นความชอบธรรมของเรา ถ้าเป็นความชอบธรรมของเรา เราทำสิ่งใดให้มันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา มันก็จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น นี่ไง เครื่องอยู่ของใจไง ถ้าใจที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันก็เป็นข้อเท็จจริงไง สมาธิก็เป็นสมาธิไง แล้วถ้าเป็นสมาธิขึ้นมามันก็เป็นความสงบสุข มันมีความสงบสุขนะ

ที่มันทุกข์ๆ อย่างนี้มันทุกข์เพราะกิเลสทั้งนั้นน่ะ เวลาเป็นคฤหัสถ์ เป็นฆราวาส ทำหน้าที่การงานแข่งขันกับสังคม อยู่กับสังคม สังคมบีบคั้นขึ้นมามันทุกข์มันยากทั้งนั้นน่ะ เราเสียสละความเป็นฆราวาสมาบวชเป็นพระ ถ้าบวชเป็นพระแล้ว หน้าที่ของพระจะทำอะไร

ถ้าหน้าที่ของพระ ถ้ามีการศึกษาภาคปริยัติ ศึกษามาเพื่อทรงจำธรรมวินัย ทรงจำธรรมวินัยเป็นฝ่ายปกครอง เขาก็มีตำแหน่งหน้าที่ของเขาเพื่อจะมีอำนาจวาสนาของเขา แล้วทำคุณประโยชน์นะ เผยแผ่ธรรมๆๆ เผยแผ่ธรรมถ้าเป็นสัจจะความจริง ถ้ามันเป็นกิเลส มันเป็นการมักใหญ่ใฝ่สูง มันก็เผยแผ่กิเลสนั่นแหละ แต่อ้างธรรมะทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเราจะเป็นพระปฏิบัติๆ ถ้าไม่มีอำนาจวาสนา กิเลสมันวางเฉยไง แล้วพอวางเฉยขึ้นมามันก็เป็นภวังค์ เป็นภวังค์มันก็ไม่รู้สิ่งใด พอไม่รู้สิ่งใดนะ ถ้าจะยกขึ้นสู่วิปัสสนามันก็เป็นกิเลสแกล้งหลับซะ กิเลสมันแกล้งหลับ ไม่เห็นกิเลส เพราะมันวางเฉยมาไง อะไรก็เฉยไง พอกิเลสมันวางเฉยขึ้นมา จะไปรู้ไปเห็นกิเลส กิเลสมันก็แกล้งตาย

กิเลสแกล้งตายมันมีปัญหาทันทีล่ะ เพราะว่ามันรู้มันเห็นของมันไง เพราะอะไร เพราะกิเลสแกล้งตาย มันไม่มี มันไม่เห็นกิเลสเพราะกิเลสมันแกล้งตาย เพราะเริ่มต้นฝึกหัดปฏิบัติอ่อนแอ ไม่เอาไหน ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่จับต้องสิ่งใด ไม่มีสิ่งใดเป็นประโยชน์ อ่อนแอ อ่อนแอแล้ววางเฉยมันจะเป็นธรรม มันมีแค่นี้หรือ มันมีแค่นี้ไง

เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา คนที่มีอำนาจวาสนา ด้วยศรัทธา ถ้ามีศรัทธาความเชื่อนะ มันองอาจกล้าหาญ นี่ไง มีสามัญสำนึก แล้วทำสิ่งใดมันเป็นประโยชน์กับตัวเองทั้งนั้น กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา ทำสิ่งใดมันจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่กระทำนั้น

วางเฉย อ่อนแอ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน แล้วถ้าว่าจะเป็นการประพฤติปฏิบัติ จะทำความเพียร มันก็เป็นภวังค์ พอเป็นภวังค์นะ มันไปรู้ไปเห็นอะไรล่ะ ดูทางโลกเขาสิ ไสยศาสตร์ เวลาเขาไหว้ครู มันออกฤทธิ์ออกเดชนั่นน่ะ นั่นเดรัจฉานทั้งนั้นน่ะ ติรัจฉานวิชา เราเป็นมนุษย์สัตว์ประเสริฐ

เวลาเขาไหว้ครู ออกเป็นสัตว์ ออกเป็นเดรัจฉานหมดเลย สิ่งที่เราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นมนุษย์ สัมมาสมาธิๆ จิตเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมนู่นน่ะ มันไม่ใช่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาแล้วเป็นภวังค์ แล้วออกเป็นติรัจฉานวิชา เป็นวิชาของเดรัจฉานไปเลย แล้วจะไปรื้อค้นหากิเลส กิเลสมันแกล้งตายซะ กิเลสแกล้งตายเลย

กิเลสแกล้งตาย มันก็ไม่รู้ไม่เห็นไง พอไม่รู้ไม่เห็นขึ้นไป เพราะมันเดรัจฉานวิชาอยู่แล้ว มันเป็นเดรัจฉานไปแล้ว มันส่งออกไปแล้ว มันจะไปไหนล่ะ

“ว่างหมดเลย มันไม่มีสิ่งใดในหัวใจเลย แหม! มันมีความมหัศจรรย์”

กิเลสมันแกล้งตาย ไม่มีอะไรสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วเป็นเรื่องกิเลสท่วมหัวนั้นน่ะ แต่กิเลสมันบังเงา

ถ้าเรามีอำนาจวาสนา เราจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริงของเรา มีครูบาอาจารย์ที่ดีงามนะ เราขยันหมั่นเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ เช้าบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง ฉันจังหัน ฉันอาหาร เราก็ต้องเคี้ยว ต้องกลืน อาหารยังต้องเคี้ยว ต้องกลืน แล้วหัวใจที่มันจะฝึกหัดประพฤติปฏิบัติ สติสัมปชัญญะอยู่ที่ไหน

สติต้องฝึกหัดสิ ข้อวัตรปฏิบัตินี่แหละเขาฝึกหัด ฝึกหัดให้สติมันทันเป็นปัจจุบัน ถ้าสติเป็นปัจจุบันนะ จะทำสิ่งใดด้วยความภูมิใจทั้งนั้นน่ะ แล้วทำด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส เพราะอะไร เพราะสติพร้อมไง สติพร้อมขึ้นมามันจะไปคิดเหลวไหลเรื่องอะไร

เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ได้มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส เป็นชาวศากยะ เป็นบุตรขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยประเพณีวัฒนธรรม เพราะสมมุติสงฆ์ ฝึกหัดสติ มีสติสัมปชัญญะ แล้วกำหนดพุทโธ อานาปานสติ ปัญญาอบรมสมาธิ ศีล สมาธิ ถ้ามีสมาธิขึ้นมามันมีความสงบสุข สุขในสถานะของความเป็นมนุษย์

มนุษย์ที่มันทุกข์มันยากขึ้นมาเพราะกิเลสมันดีดมันดิ้น กิเลสมันดีดมันดิ้นแล้วมาบวชเป็นพระมันก็เป็นพระแต่รูปแบบ เป็นสมมุติสงฆ์ แต่หัวใจ หัวใจมันเป็นโลกไง มันถึงดีดมันถึงดิ้นไง ที่มันดีดมันดิ้นก็เพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยากทั้งนั้นน่ะ

แล้วถ้าไม่มีอำนาจวาสนา อ่อนแอ บวชมานี่บวชมาเป็นพระได้ห่มผ้ากาสาวพัสตร์ ได้เป็นสมมุติสงฆ์ เห่อเหิมทะเยอทะยานเหมือนกับเทพบุตร ใครมานี่ แหม! ต้องเคารพนบนอบ ใครมาล่ะต้องเชิดชูบูชา

สมมุติสงฆ์ บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาเป็นชาวพุทธเหมือนกัน แต่เขาเป็นอุบาสก อุบาสิกา เขาอยากจะร่วมเนื้อนาบุญของโลก เขาก็ศรัทธา ศรัทธาในพระพุทธศาสนา แต่เราน่าศรัทธาหรือไม่ ถ้าเราน่าศรัทธา เขาศรัทธาของเขาด้วยหัวใจของเขา นั่นน่ะปัจจัตตัง สันทิฏฐิโกในหัวใจของเขา

ไอ้เราบวชเป็นพระ บวชเป็นพระที่เขาเคารพนบนอบ เขายกมือไหว้นะ เวลาเขาจะใส่บาตร เขาอธิษฐานเลยล่ะ สิ่งที่ข้าพเจ้าได้มาเป็นไทยทาน ได้มาด้วยปลีแข้ง ด้วยความสามารถของตน จะทำบุญกุศลไง ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รัตนตรัย แล้วใส่บาตรไป

เรารับบาตรนั้นมา เวลาขบฉันแล้ว ขบฉันด้วยสติด้วยปัญญา ต้องเคี้ยว ต้องกลืน แล้วเวลาถึงล่วงขึ้นวันใหม่ต้องขับถ่าย แล้วก็บิณฑบาต แล้วก็ฉัน แล้วก็เคี้ยว แล้วก็กลืน ปัจจัยเครื่องอาศัยสมบูรณ์แบบไหม

ถ้ามีสติมีปัญญาขึ้นมามันจะฝึกหัด ฝึกหัดสติของเรา ถ้าทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับมันมีความสุข

ความสุขตรงไหน

ดูโลกเขา อุบาสก อุบาสิกาเขาอาบเหงื่อต่างน้ำ เขามีความทุกข์ความยาก เขาคิดงานของเขานะ ต้องมีการแข่งขันกับเรื่องโลก นี่คืองานของเขา งานประจำโลก แล้วเขาได้มาแล้วเขามีศรัทธา เขาทำบุญกุศลของเขา แล้วเราล่ะ เราบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้ง บิณฑบาตเขามาฉันแล้วทำความสงบของใจได้หรือไม่ ฝึกหัดสติปัญญาขึ้นมาหรือไม่ ถ้ามันฝึกหัดสติขึ้นมา กิเลสมันไม่วางเฉยไง

จะทำสิ่งใดกิเลสมันกีดมันขวางนะ กิเลสมันผลักมันไส มันไม่ให้ทำให้มันเป็นธรรมไง

การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติที่มันยากอยู่นี่มันยากเพราะกิเลส องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีต่อสู้กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ด้วยบุญด้วยอำนาจวาสนา เวลาบุพเพนุวาสานุสติญาณ อดีตชาติไปนู่นน่ะ จุตูปปาตญาณ อนาคต อาสวักขยญาณ ทำลายอวิชชา กิเลสตายหมดเลย

พญามาร พญามารดิ้นรน เห็นไหม เวลาลูกสาวไง ความโลภ ความโกรธ ความหลง “พ่อๆ เป็นอะไร”

“องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะพ้นจากมือเราไป”

“พ่อไม่ต้องห่วงเดี๋ยวพวกดิฉันไปจัดการเองค่ะ”

เพราะสติปัญญาไง “นางตัณหา นางอรดี พ่อของเธอเจ้าวัฏจักร เรือนยอดของเรือน ๓ หลัง ความโลภ ความโกรธ ความหลง เรือนยอดของมัน เราได้หักลงแล้ว”

ไอ้เรือน ๓ หลัง เรือนยอดหักแล้ว ไอ้ตัวเรือนมันจะมีปัญหาอะไร นี่ด้วยวิหารธรรมมันรู้ทันหมดล่ะ เข้ามาเกี่ยวข้องอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น นี่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไง ชำระล้างกิเลสไง กิเลสในหัวใจสิ้นไปในหัวใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เรามาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระนี่สมมุติสงฆ์ๆ กิเลสมันเต็มหัวใจ แล้วถ้าฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ที่มันทุกข์มันยากอยู่นี่เพราะกิเลสมันปลิ้นมันปล้อนทั้งนั้นน่ะ แล้วกิเลสมันปลิ้นปล้อน มันอ่อนแอ วางเฉย พอเฉยแล้วมันเป็นภวังค์ หลอกว่ามันจะบรรลุธรรม เวลาภาวนามยปัญญา กิเลสมันก็แกล้งตายซะ แล้วพอมันแกล้งตายขึ้นมานะ พอมันอีลุ่ยฉุยแฉกไปนะ เวลากิเลสมันฟื้นตัวมานะ กรรมฐานม้วนเสื่อ

หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่าน ครูบาอาจารย์ของเราท่านวางข้อวัตรปฏิบัติไว้ ถ้ากิเลสมันดิ้นมันรนของมัน เราอยู่กับข้อวัตรปฏิบัติ ฝึกหัดไว้ ถ้ามันเท่ามันทันขึ้นมา พอมันเท่ามันทันขึ้นมามันมีเครื่องอยู่ มีเครื่องอยู่แล้วมีหลักมีเกณฑ์ไง

คนเราเขาวัดกันมาตรฐานน่ะ มาตรฐานว่ามันจริงจังมากน้อยขนาดไหน มันไม่ใช่โลเล อ่อนแอ จับต้องสิ่งใดไม่ได้ นี้เป็นเรื่องวัตถุนะ นี้เป็นกฎกติกานะ

แล้วจิตนี้เป็นนามธรรมๆ แล้วจะจับต้องมันตรงไหนวะ แล้วจับต้องมันอย่างไร

นี่ไง ก็มันวางเฉย มันไม่มีสิ่งใดที่จับต้องได้

แต่ถ้าข้อวัตรปฏิบัติ เรามีสติปัญญาอยู่กับมัน นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ เวลาลงศาลานี่คือการฝึกหัดเลย มันจริงมันจังมากน้อยขนาดไหน ถ้ามันจริงมันจัง มันดูใจเรา

เวลาเราทำ ดูใจเราเลย มันดีดมันดิ้นไหม มันพอใจไหม มันทำด้วยความภูมิใจ ทำด้วยความอิ่มอกอิ่มหัวใจหรือมันทำด้วยความทรมาน มันทำด้วยความบีบคั้น แล้วเวลาที่จัดอาหารใส่บาตรแล้วมันต้องการอะไร ต้องการแล้ว วันนี้ไปนั่งสมาธิแล้วมันเป็นสมาธิหรือไม่เป็นสมาธิ พรุ่งนี้ขึ้นมา ในอาหารของเราจะคุมดูแลเลย อดนอน ผ่อนอาหารไง

ในธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ศึกษานักธรรมตรี ก่อนอิ่ม ดื่มน้ำให้พอดี ที่มันเกินเข้าไป เวลาไปแล้วมันจะตกภวังค์

ถ้าเราตั้งสติฝึกหัดไว้ เวลาจะภาวนามันก็ดีขึ้น เวลาภาวนาดีขึ้นนะ มีสติสัมปชัญญะ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ สมาธิก็เป็นสมาธิไง สมาธิมันเพราะอะไรล่ะ เป็นสมาธิเพราะอะไร

ขณิกสมาธิรู้เท่าทันกิเลส อุปจารสมาธิกิเลสเบาบางลง อัปปนาสมาธินะ นี่ไง กิเลสสงบตัวลง สักแต่ว่าปรากฏ จิตมหัศจรรย์เลย จิตมหัศจรรย์ อัปปนาสมาธิๆ มันจะภาวนาไม่ได้ แต่มันภาวนาได้มันได้กำลัง เวลามันถอยออกมาอุปาจาระ อุปาจาระคือมันรู้ได้ ผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้

แต่โดยธรรมชาติของมัน มันคิดของมันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว แต่อะไรเป็นถูกรู้ล่ะ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อารมณ์ความรู้สึกที่มันเกิดขึ้นมันเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้โดยอะไร ถูกรู้โดยผู้รู้ ผู้รู้คือตัวจิต

จิตมันเสวยอารมณ์ จิตมันเสวยอารมณ์มันก็เป็นความรู้สึกนึกคิดไปร้อยแปด แล้วเราก็มีความรู้สึกนึกคิดมาอยู่กับมัน แล้วเราไม่ได้ฝึกหัดสติ เราไม่ได้เท่าทันอารมณ์ของตนเลย พุทโธๆ เราก็หัก หักจากที่มันเคยคิดเคยอยู่ของมันโดยธรรมชาติของมัน ให้มันเสวยพุทโธซะ พุทโธคือวิตกและวิจาร

โดยธรรมชาติมันคิดไง มันคิดมันไหลไปตามความคิดไง วิตกคือนึกขึ้น นึกพุท นึกโธ นึกพุท พุทกับโธ วิจาร วิตกกับวิจาร ถ้ามันสมดุลพอดีด้วยสติสัมปชัญญะ

สติสัมปชัญญะมาจากไหน

มาจากข้อวัตรปฏิบัติ มาจากการดำรงชีวิตของตน ถ้ามันมาจากการดำรงชีวิตของตน แล้วถ้ามันฝึกหัดจนมันมีกำลังขึ้น มันแก่กล้าขึ้น มันเท่าทันกับอารมณ์ความรู้สึกไง

ถ้ามันเท่าทันกับอารมณ์ความรู้สึก เวลาสติสัมปชัญญะมันดีขึ้นๆ ขณิกสมาธิ อุปาจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันไม่ใช่วางเฉย วางเฉยมันไม่มีสติแล้ว วางเฉยมันลงภวังค์หมด แล้วลงภวังค์ไปไหน นั่งหลับ นั่งหลับแล้วว่างๆ นะ ถ้าวันไหนได้นั่งแล้วหลับ อู้หูย! วันนี้ภาวนาดี มันไม่รู้หรอกว่ามันตกนรกอยู่นั่นน่ะ แต่ถ้ามีสติ ตกนรกนี้ก็แสนทุกข์แสนยาก

การภาวนามีมันยากอยู่ ๒ คราว คราวเริ่มต้นนี่ คราวเริ่มต้นจากปุถุชนคนหนา ทุกคนมีศรัทธามีความเชื่อในพระพุทธศาสนา อยากจะประพฤติปฏิบัติในแนวทางสติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา สิ่งที่ทำกันๆ อยู่นั้นมันเป็นจินตนาการ มันเป็นความจอมปลอม กิเลสมันจัดให้หมดทั้งสิ้น

มันจะเป็นจริงๆ ตั้งแต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเป็นตามจริงในใจของท่าน แนวทางสติปัฏฐาน ๔ จิตสงบแล้วยกขึ้นวิปัสสนา กาย เวทนา จิต ธรรม ถ้ามันจะยกขึ้นกาย เวทนา จิต ธรรม จิตมันสงบหรือไม่สงบ จิตมีสมาธิหรือไม่มีสมาธิ

หลวงปู่มั่นจะถามทุกวันว่า จิตเป็นอย่างไรๆ

แต่ถ้ามันวางเฉย มันปล่อยปละละเลย มันไม่มีอำนาจวาสนา มันนั่งสัปหงกโงกง่วง นั่งหลับ นั่งตกภวังค์ นี่ถ้ามันเป็นมิจฉา ถ้ามันรู้มันเห็นอะไรมันก็ส่งออก เวลาส่งออกไปนะ มันจะเห็นนู่นเห็นนี่

เห็นอะไร เห็นทำไม มันเป็นเรื่องไร้สาระสิ้นดีสำหรับหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ ที่ท่านก็ต้องผ่านมาก่อนแล้วเหมือนกัน

เราศึกษามาขนาดไหนมันอยู่ภายนอกนะ มันเป็นทฤษฎี รู้อยู่เต็มหัวอก ศึกษาว่ากลัวมันจะผิดพลาด นั้นเป็นเรื่องภายนอก แต่เวลาเราทำความสงบมันเรื่องภายใน มันเป็นเรื่องหัวใจของเรา มันจะควบคุมได้ก็สติสัมปชัญญะเท่านั้น แล้วสติสัมปชัญญะมันจะทันไหม แม้แต่อารมณ์ยังพ่ายแพ้มัน

อารมณ์มันคิดไง มันจินตนาการไง มันต้องการไง มันคิดของมัน คิดเอาแต่สะดวก เอาแต่สบาย เอาแต่ความเห็นของตน ปฏิบัติแล้วต้องมีความสุขไง แล้วปฏิบัติไปแล้วก็วางเฉยไง เพราะอันนั้นมันคือกิเลส

แล้วเวลาจะเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ว่าวิปัสสนา พระกรรมฐาน

กิเลสมันแกล้งตาย เอ็งเอาอะไรไปเห็นมัน เพราะไม่รู้ไม่เห็นนี่ไง มันถึงไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง มันเลยแซงหน้าแซงหลัง มันแซงหน้าแซงหลังว่า พวกเราไม่ต้องมีขณะก็ได้ พวกเราไม่ต้องมีอะไรก็ได้ เรามีแต่สัญญาอารมณ์ มีแต่การแซงหน้าแซงหลัง อยากจะเป็นผู้รู้ อยากจะเป็นผู้สอน

สอนตนเองยังไม่ได้ สอนตนเองยังไม่เป็น จะไปสอนใคร

สอนไม่ได้เพราะมันไม่รู้ ไม่รู้พูดออกมามันก็เลยกลายเป็นอวิชชาทั้งนั้น เป็นกิเลสล้วนๆ ไม่มีอะไรเป็นจริงสักอัน

ถ้าเอาจริงนะ ครูบาอาจารย์ของเราไง ถ้าพยายามทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ใจสงบมันจะเป็นความปกติสุข คนเราจะทำงาน จิตใจมันต้องอิ่มเต็ม มันต้องมีความปกติสุขมันถึงจะทำงานในพุทธะ

เพราะเวลาจิตมันสงบไง ขณิกสมาธิ อุปาจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน มีความสงบสุข สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตสงบระงับมีความสุขมาก สุขจนติดล่ะ นี่โดยข้อเท็จจริงมันก็ติดของมันอยู่แล้ว ติดเพราะอะไร ติดเพราะทุกคนมีกิเลสไง ทุกคนไม่รู้ สิ่งที่ไม่รู้ เราจะเดินหน้าไปอย่างไร

ครูบาอาจารย์ของเราที่ดีงาม เห็นไหม ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วฝึกหัดใช้สติปัญญา ฝึกหัดใช้สติปัญญา จิตสงบแล้วน้อมไป ถ้าน้อมไป การขุดคุ้ยและค้นคว้า

กิเลส ไม่มีกิเลสที่ไหนจะให้เราพิจารณา ไม่มีกิเลสที่ไหนจะเข้ามาเผชิญหน้ากับความจริงในหัวใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ กิเลสมันมีแต่ยุให้รำตำให้รั่ว กิเลสมีแต่ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ กิเลสมันมีแต่ปัดแข้งปัดขา ทั้งๆ ที่ทำสมาธิกว่าจะเป็นสมาธิได้ เราต้องลงทุนลงแรงขนาดไหน

ปุถุชนคนหนาทำสมาธิได้แสนยาก มันทำนะ มันเป็นภวังค์ จิตมันส่งออก จิตมันล้มลุกคลุกคลาน แล้วทำแล้วจับต้นชนปลายสิ่งใดไม่ได้ มันเป็นปัญหาไปทั้งนั้นน่ะ มันเป็นปัญหา นี้ก็เพราะว่าอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคล เราจะมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนก็วางไว้เป็นเรื่องของอำนาจวาสนา อำนาจวาสนามันจะเกิดขึ้น เกิดขึ้นถ้าขณะที่เราจะฝึกหัด เราจะนั่งสมาธิภาวนาอยู่นี่ นี่คือการเพิ่มอำนาจวาสนาให้กับจิตของตน

การเพิ่มอำนาจวาสนาให้กับจิตของตน เพราะการปฏิบัติบูชา นี้คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้เลย ให้ปฏิบัติบูชาเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเถิด อย่าบูชาด้วยอามิสสินจ้าง อย่าบูชาด้วยสิ่งใดๆ เลย ให้ปฏิบัติบูชาเถิด

ทีนี้ปฏิบัติบูชา มันก็มีกิริยาเราเท่านั้นไง ถ้าเราปฏิบัติบูชา เวลาปฏิบัติบูชามีสติสัมปชัญญะเท่าทันกับอารมณ์ความรู้สึกของตน ถ้าเท่าทันอารมณ์ความรู้สึกของตน ถ้าเป็นความเพียรชอบ เป็นความชอบธรรม มันต้องสงบระงับเป็นข้อเท็จจริง

แล้วถ้าข้อเท็จจริงมันจะมากจะน้อยขนาดไหน มันจะออกไปข้างนอก เราไม่เอา จะรู้เห็นสิ่งใด เราไม่ต้องการ แล้วมันจะนั่งหลับ ระวังไว้ ถ้ามันหลับ มันตกภวังค์แล้ว มันจะตกอยู่อย่างนั้น แล้วการตกภวังค์แล้วมันจะตกให้มากขึ้น ตกจนนั่งทั้งคืนตลอดรุ่งก็ได้ เราเห็นมาแล้ว ผู้ที่นั่งตลอดรุ่งๆ นั่งหลับทั้งคืนเลย เห็นมาเยอะแล้ว

เพราะเขาฟังมาไง แล้วกิเลสมันวางเฉยไง แล้วก็บอกครูบาอาจารย์ท่านนั่งตลอดรุ่ง เราก็นั่งตลอดรุ่งได้ แต่มันก็ตลอดรุ่งด้วยสัมมาทิฏฐิความถูกต้องชอบธรรมของครูบาอาจารย์ของเรา

นั่งตลอดรุ่งโดยพิธีกรรม โดยทิฏฐิมานะ โดยกิเลสแกล้งตาย กิเลสมันตายไปหมดแล้ว นั่งตลอดรุ่งก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้

ใครทำอะไรก็ได้ แต่เป็นสัมมาทิฏฐิหรือมิจฉาทิฏฐิ ทำชอบหรือทำโดยกิเลสแกล้งตาย

เพราะกิเลสมันแกล้งตายไง มันถึงว่า นั่งตลอดรุ่งก็ได้ ทำสิ่งใดก็ได้ ไม่เห็นมีอะไรเลย

ก็กิเลสมันแกล้งตาย

แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเรา การขุดคุ้ยและค้นคว้า การเห็นกิเลส เห็นสติปัฏฐาน ๔ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา นุปัสสนา วิปัสสนาอย่างไร ถ้ามันรู้มันเห็นไง ไม่ใช่กิเลสมันแกล้งตาย

กิเลสแกล้งตายนะ จินตนาการได้เลย จินตนาการอะไรก็ได้ แล้วจินตนาการออกไปแล้ว ผู้พูดก็ไม่รู้ไง แต่พูดธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้ามีการเรียนภาคปริยัติมายิ่งพูดได้เป็นต่อยหอยเลย แต่คำพูดนั้นไม่มีน้ำหนัก

เห็นไหม เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นภาคปริยัติเทศนาว่าการน่ะ โอ้โฮ! พูดมันละเอียดลึกซึ้งทั้งนั้นน่ะ แต่มันลอยลม มันผิวเผินน่ะ

แต่หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ของเราท่านเน้นย้ำนะ ท่านเน้นย้ำหัวกิเลส ท่านเน้นย้ำลงสู่หัวใจ แล้วครูบาอาจารย์ของเราที่ฝึกหัดปฏิบัติเพชรน้ำหนึ่งๆ อยู่กับหลวงปู่มั่นมาไง

มันมีหลากหลาย ผู้ที่เข้าไปใหม่ทำสมาธิไม่ได้ ทำสมาธิไม่เป็น ท่านก็ให้ฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าได้สมาธิแล้วนะ ผู้ที่อยู่ขั้นที่ ๑ เวลาจิตน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง แล้วก็ถ้าฝึกหัดปฏิบัติแล้วได้ขั้นที่ ๑ ท่านก็รอเวลาที่หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการขึ้นมาไง ผู้ที่ได้ขั้นที่ ๒ ก็รอเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมาไง

ครูบาอาจารย์ที่ฟังเทศน์หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย หลวงปู่มั่นเวลาเทศนาว่าการเหมือนเครื่องบิน เวลาแท็กซี่แล้วเวลามันจะขึ้น พอขึ้นแล้วก็ขึ้นสูงไปๆ บุคคล ๔ คู่ไง แต่ละคู่ แต่ละชั้น แต่ละตอน ทำอย่างไร

นี่เหมือนกัน เวลาเราฝึกหัดปฏิบัติขึ้นมา ทำความถูกต้องชอบธรรมให้เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิแล้วถ้าน้อมไปสู่เห็นสติปัฏฐาน ๔ ตามความเป็นจริง การน้อมไป การขุดคุ้ยและค้นคว้า ขุดคุ้ยค้นคว้า เห็นกายเห็นอย่างไร

ถ้าเป็นกิเลสมันแกล้งตายนะ มันก็บอกมันพิจารณากายเห็นกาย เห็นกายโดยวิปัสสนึก มันนึกมันเห็นของมัน มันเทียบเคียงขึ้นมา คือพิธีการประพฤปฏิบัติไง จะจัดรูปแบบในการปฏิบัติให้มันสมบูรณ์แบบของมัน ถ้าสมบูรณ์แบบของมัน ก็เหมือนเรา เห็นไหม

สถาบันการศึกษา สถาบันการศึกษาถ้าเขาศึกษาของเขาตามระบบของเขา เขาสอบผ่านของเขา เขาจบ มีการศึกษานั้น เราไปสถาบันการศึกษานั้นแล้วก็เดินผ่านไป พอผ่านไปแล้วเราบอกว่าเราจบสถาบันการศึกษา มันจะจบมาได้อย่างไร มันไม่ได้ศึกษา มันไม่ได้มีการกระทำ มันผ่านไปเฉยๆ

นี่ก็เหมือนกัน เวลาวิปัสสนาๆ กิเลสมันแกล้งตาย มันก็ผ่านไปเฉยๆ มันไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไง พอไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอัน มันก็ไม่มีความจริงในข้อเท็จจริงในใจของตน ถ้าไม่มีข้อเท็จจริงในใจของตน มันจะรู้ได้อย่างไรว่าสัมมาสมาธิเป็นอย่างไร เพราะอะไร

เพราะมันวางเฉยไง มันก็มีมิจฉาสมาธิไง มันก็เป็นภวังค์ไง แล้วถ้าทำไปแล้วมันก็ถูลู่ถูกัง มันจะมีความสงบระงับบ้าง มันก็ส่งออกไง มันส่งออกไป มันจะมีความสงบสุขอย่างไร

ปฏิบัติไปแล้วเร่าร้อน ทุกข์ใจ ไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมาก็ไม่ใช่เป็นการปฏิบัติ การปฏิบัติก็ต้องมีความรู้ความเห็น ความรู้ความเห็นก็วางเฉยมันซะ พอวางเฉยไปแล้วมันก็ส่งออก เดี๋ยวมันก็รู้ก็เห็น

รู้เห็นโดยกิเลสไง แล้วรู้เห็นโดยกิเลส กิเลสมันพาไปอีลุ่ยฉุยแฉกนะ แล้วจะเอาจริงเอาจัง จะค้นคว้าขึ้นมา มันแกล้งตายไง มันตายว่านี่เป็นธรรม รู้เห็นนี่บรรลุธรรม ธรรมทั้งนั้นน่ะ ธรรมโดยกิเลส

แต่เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเทศนาว่าการ ให้ทำความสงบของใจ เพราะการทำความสงบของใจ จากโลกียะ จากกิเลสมันวางเฉย มันแกล้งตาย มันสร้างอารมณ์ความรู้สึกของมันไปร้อยแปด นี่มันเป็นเรื่องของกิเลส เรื่องการให้กิเลสมันบีบบี้สีไฟ

เราจะเอาจริงเอาจังของเราขึ้นมา เวลาการฝึกหัดปฏิบัติมันต้องฝึกหัดตั้งสติ ตั้งสติแล้วพยายามทำความสงบของใจให้ได้ เอาความสงบของใจของตนก่อน เพราะถ้าใจสงบแล้ว ถ้ามีอำนาจวาสนา มีครูบาอาจารย์นะ ท่านให้ขุดคุ้ยและค้นคว้า

การเห็นสติปัฏฐาน ๔ การเห็นกิเลส มันเป็นผลงานชั้นเยี่ยม ถ้าเป็นผลงานชั้นเยี่ยม แล้วผลงานนั้นเราจะดูแลและรักษาอย่างใด ขนาดทำสมาธิยังต้องชำนาญในวสี ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านห่วงใยตรงนี้เป็นที่สุด

ห่วงใยตรงนี้เป็นที่สุด หมายความว่า เราจะต้องมีเงินสดอยู่ตลอดเวลา เรามีเงินสด เราจะใช้จ่ายของเราได้ตลอดเวลา เราจะมีเงินสดได้ เราจะต้องมีการกระทำ กระทำขึ้นมาเป็นสัมมาอาชีวะว่าเราถึงจะมีเงินสดขึ้นมา

ฉะนั้น การที่ทำหัวใจให้เป็นสัมมาสมาธิ ให้มีกำลัง มันต้องชำนาญในวสี ชำนาญในวสี ถ้ามีการกระทำ จิตสงบแล้วพยายามฝึกหัดค้นคว้าน้อมไปให้เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิต เห็นธรรม การเห็น การขุดคุ้ยและการค้นคว้า ถ้ามันเห็นตามข้อเท็จจริง มันสะเทือนกิเลส

การขุดคุ้ยและค้นคว้าหากิเลสเป็นงานประเภทหนึ่ง พอค้นคว้าเห็น ได้พบกิเลสแล้ว เห็นไหม ไม่ใช่กิเลสมันแกล้งตาย

“กิเลสมันไม่มี มันสิ้นไปหมดแล้ว เริ่มต้นก็วางเฉย เวลาจะฝึกหัดปฏิบัติมันก็แกล้งตาย มันตายไปแล้ว ก็มันไม่มี เราบรรลุธรรม ธรรมะมีอยู่โดยดั้งเดิม เดินไปชนมันเลย ธรรมะเป็นของเรา ชอปปิงเอาได้ตามความพอใจ”

กิเลสหลอกทั้งนั้นน่ะ

แต่ครูบาอาจารย์ของเรานะ เวลาจิตสงบแล้ว จิตเป็นอย่างไร จิตมีกำลังหรือไม่ จิตไม่มีกำลังก็กลับไปพุทโธ จิตไม่มีกำลังก็พยายามใช้ปัญญาอบรมสมาธิให้จิตมันสงบสุข จิตสงบสุขแล้วติดสมาธิ หรือสมาธิแก้กิเลสไม่ได้ มันเป็นข้อเท็จจริง

ถ้าไม่มีสมาธิเลยนะ มันก็เป็นกิเลสวางเฉย กิเลสแกล้งตาย แล้วมันก็แซงหน้าแซงหลัง มันก็สร้างภาพ พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน ฉะนั้น พูดเหมือนกัน ทำเหมือนกัน นั้นเป็นคำพูด นั้นเป็นสัญญาอารมณ์ มันไม่ใช่เป็นข้อเท็จจริง มันถึงไม่เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก

สันทิฏฐิโก รู้แจ้งในใจของตน รู้แจ้งในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านถึงอธิบาย ถึงได้คุ้มครองดูแล

เริ่มต้นสตาร์ตอย่างไร

สตาร์ตจากการทำความสงบใจนี่ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไปว่าเราจะต้องได้ทรัพย์สมบัติ เราต้องได้ธรรมะ เราจะได้สิ่งใดมากมายมหาศาล เอาไว้ก่อน เอาความสงบของใจเราก่อน เอาความเป็นตัวตนของตนก่อน อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ถ้าตนยังทำความสงบของตนไม่ได้ ใครจะให้ที่พึ่งล่ะ เพราะเราก็ยังหาตัวตนของเราไม่ได้ เรายังทำสมาธิของเราไม่เป็น สิ่งที่ทำๆ มันเป็นภวังค์ มันเป็นมิจฉา มันจะเป็น อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตรงไหนล่ะ มันเป็นการที่กิเลสมันขี่คอแล้วมันขย้ำเอานะน่ะ แล้วกิเลสมันพาอีลุ่ยฉุยแฉกออกไปข้างนอกอีกต่างหาก ยังไม่รู้สำนึกตัว ยังไม่สำนึกตัว ไม่รู้จักตัว เพราะไม่มีตัวตน

ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาๆ หลวงปู่มั่นจะถาม จิตเป็นอย่างไร

ตัวตนเกิด จิตก็คือตัวตนของเราไง ก็เป็นสัมมาสมาธิไง ก็เราเห็นว่ามันมีความสงบใจ มีสติสัมปชัญญะรู้อยู่นี่ไง แล้วรู้อยู่นี่ เดี๋ยวมันก็คลายออก แล้วคลายออกทำอย่างไร คลายออกเราก็ต้องมีสติมีสัมปชัญญะควบคุมดูแลให้มันดีขึ้นมาไง ถ้ามันดีขึ้นมามันก็มีความสุขไง สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วติดไหม

ถ้ามันมีความสุข เดี๋ยวมันก็จะทุกข์เพราะมันเสื่อม จิตเสื่อมๆ นี่แหละ จิตเสื่อมเป็นพื้นฐาน เป็นข้อเท็จจริง ธรรมชาติของมัน สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหลายทั้งปวงต้องดับเป็นธรรมดา สรรพในสิ่งโลกนี้เป็นอนิจจัง พร้อมกับสัมมาสมาธิ สมาธิมันก็เป็นอนิจจัง เป็นสมมุติอันหนึ่ง

สมาธิเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต จิตคงที่ของมันเพราะมีธาตุรู้ จิตมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากถึงมีความคิดตลอดเวลา เพราะกิเลสนั้นไปกว้านเอาความทุกข์ความยากมาใส่จิตของตน

กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา เพราะมันทำชั่วทำหยาบ มันก็มีความทุกข์ของมัน ทำคุณงามความดีๆ มันก็ได้บุญกุศลของมัน นี่มันโดยธรรมชาติของมันอยู่แล้ว

นี่ไง ฉะนั้น สมาธิเกิดจากจิต ไม่ใช่จิต จิตไม่เคยตาย ถ้าจิต สมาธิ เป็นอันเดียวกัน เวลาสมาธิเสื่อม จิตมันก็ต้องเสื่อมไปด้วยสิ เวลาสมาธิถ้ามันดีขึ้น มันสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วมันดีขึ้น แล้วจิตไปไหนล่ะ

จิตก็มีอวิชชาไง อวิชชาอยู่ที่ฐีติจิตไง อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนนั้นไง จิตดวงนั้นไง ขุดคุ้ยค้นคว้าไง สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน

สมถกรรมฐานก็ไม่มีพื้นฐานโดยเป็นสัมมาสมาธิ เป็นวางเฉย เป็นการวางเฉย เป็นเรื่องภวังค์ ถ้าจะยกขึ้นสู่วิปัสสนา กิเลสมันก็แกล้งตาย กิเลสตายแล้ว กิเลสไม่มี ไม่มีเพราะไม่รู้ไม่เห็น

แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม จิตเป็นอย่างไรๆ มันเสื่อมไปแล้วก็ฟื้นฟูมันขึ้นมา ฟื้นฟูแล้วน้อมไปเห็นสติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ ถ้าไม่เห็น ขุดคุ้ยและค้นคว้า มันเป็นงานประเภทหนึ่งเลยล่ะ

เพราะเวลาฝึกหัดปฏิบัติขึ้นไป คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ เดี๋ยวนะ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ มันยิ่งลึกลับซับซ้อนกว่านี้ จะขุดคุ้ยค้นคว้าได้อย่างไร ถ้าไม่ขุดไม่ค้นคว้าขึ้นมา ทำไมครูบาอาจารย์ท่านติดสมาธิ ๕ ปี ทำไมครูบาอาจารย์ที่ท่านปฏิบัติถึงคู่ที่ ๓ ท่านถึงไปต่อไม่ได้ ทำไมต้องไปหาหลวงปู่มั่น ทำไมถึงต้องขวนขวาย ต้องค้นคว้า มันเป็นชั้นเป็นตอนได้อย่างไร ก็นี่ไง ก็การขุดคุ้ยและค้นคว้า

ถ้าขุดคุ้ยค้นคว้า ถ้าเห็น ถ้าจับต้องได้ มันเป็นกิเลส กิเลสเป็นนามธรรม กิเลสอยู่ที่ฐีติจิต กิเลสอยู่ที่จิตของสัตว์โลกที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดมีพญามาร มีกิเลสตัณหาความทะยานอยากในหัวใจของตน แล้วเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมีแต่ว่าสร้างคุณงามความดีหรือกิเลสมีกำลัง ก็สร้างบาปอกุศล ตกนรกอเวจี ไปอยู่เทวดา อินทร์ พรหม อยู่ที่บุญและบาป นี้เป็นอามิสไง แล้วชาวพุทธก็ทำอยู่อย่างนี้

กึ่งกลางพระพุทธศาสนา หลวงปู่มั่นท่านมาฝึกหัดของท่าน ท่านจะเอาความจริงของท่าน แล้วความจริงของท่านในหัวใจของท่านจนกิเลสสิ้นไป แล้วคอยอบรมบ่มเพาะ อบรมบ่มเพาะอะไร อบรมบ่มเพาะธรรมทายาท ธรรมทายาทให้มีสักขีพยานๆ ใครประพฤติปฏิบัติตามความเป็นจริง อริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น มีหนึ่งเดียวเท่านั้นเพราะ ศีล สมาธิ ปัญญา

เวลายกขึ้นสู่วิปัสสนาๆ มันขุดคุ้ยค้นคว้าแล้วมันเห็นของมัน ถ้าเห็นของมัน มันเห็นกิเลสนะ มันรู้จักกิเลสด้วย

กิเลสคืออะไร

กิเลสคือตัณหาความทะยานอยาก ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ ทุกข์มันเป็นวิบากนะ มันเป็นวิบากเกิดจากตัณหาความทะยานอยาก เกิดจากสมุทัย เพราะมันไม่มีสิ่งใดสมใจพอใจ แล้วสมความปรารถนา ไม่มี เพราะมันมีอยากได้ มีผลักไส อยู่เฉยๆ กิเลสทั้งนั้น แล้วพอกิเลสทั้งนั้น มันมีสิ่งใดเกิดขึ้นล่ะ เพราะมันเป็นเหตุใช่ไหม มันก็ให้ความทุกข์ไง

ทุกข์เป็นอริยสัจ ทุกข์เป็นความจริง แล้วเอ็งจับทุกข์ได้ไหม จับไม่ได้ แต่ทุกข์เกือบตาย ทุกข์เกือบตายเพราะอะไร เพราะกิเลสมันแกล้งตาย กิเลสมันแกล้งตายก็ไม่มีกิเลสไง

ไม่มีกิเลส ทำไมมึงทุกข์ล่ะ

“มันไม่ทุกข์ ตอนนี้จะแสดงธรรม มันว่าง อารมณ์มันดี”

ดีเพราะเอ็งจะเอาหน้า ดีเพราะเอ็งปลิ้นปล้อน ดีเพราะเอ็งไม่รู้ความเป็นจริง

ถ้าความเป็นจริงๆ ทุกข์ จับมันให้ได้

ทุกข์คือความทนอยู่ไม่ได้ ทนที่ว่าเขาไม่ยกย่องสรรเสริญเรา ทนที่ว่าเขาไม่รู้จักเรา ทนอยู่ไม่ได้ นั่นคืออะไร อยากได้ อยากเป็น แต่มันอยากได้ อยากเป็น สมุทัยทั้งนั้นน่ะ แล้วมันสร้างอะไร สร้างความเป็นอยู่โดยปกติไม่ได้ ต้องแสวงหาสิ่งที่กิเลสมันต้องการ แล้วใครเป็นคนกระทำล่ะ

เหตุเห็นไหม เพราะเอ็งจับทุกข์ไม่ได้ไง เอ็งไม่รู้จักไง ทุกข์ เหตุให้ทุกข์ ทุกข์ดับ ขณะ นิโรธ เป็นอย่างไร

มันจะเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ต้องมรรค ๘ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เราทำสมาธิด้วยความชอบธรรมหรือไม่ ถ้ามันไม่ชอบธรรมมันก็เป็นมิจฉา เพราะมันขาดความชอบธรรม ขาดความชอบธรรม ถ้าหลงระเริงมันก็เป็นภวังค์ มันก็นั่งหลับ มันก็ส่งออก

เพราะธรรมชาติของจิตไง จิตมันเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แล้วมันมีกิเลสของมันโดยธรรมชาติอยู่แล้ว แล้วที่เรามาฝึกหัดประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรายังเหลวไหล ไหลตาม แล้วมันจะมีสิ่งใดเป็นประโยชน์กับผู้ที่ปฏิบัตินั้น

ถ้าปฏิบัติ ปฏิบัติโดยสัมมาทิฏฐิ โดยความถูกต้องชอบธรรม พยายามทำความสงบของใจเข้ามาให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ให้เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิคือมีสติ สมาธิ อัปปนาสมาธิ ไม่พาดพิงอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

ฟังสิ จิตล้วนๆ ที่ไม่พาดพิงอะไรเลยมันเป็นอย่างไร ถ้าทำสมาธิเป็น พูดมา

ไม่มี แม้แต่พระกรรมฐานยังทำไม่ได้เลย

ครูบาอาจารย์ยืนยันไว้ตลอด ฉะนั้น เวลาอัปปนาสมาธิคือรวมใหญ่ คือจิตมันสักแต่ว่าปรากฏ ขณิกะมันเป็นความสงบสุขมันก็รู้ของมันนะ รู้ของมันว่ามีความสงบสุข แต่ดูแลรักษายาก

ฝึกหัดให้มากขึ้น ทำให้มีความชำนาญขึ้น อุปจาระ มันสงบมากขึ้น แต่ยังรับรู้ได้อยู่ การรับรู้อย่างนี้มันไม่สิ้นกระแสความ เพราะการรับรู้มันจะพาออกนอก ฉะนั้น ออกนอกแล้วเราถึงไม่เห็นกิเลส ถึงขุดคุ้ยค้นคว้าไม่ได้ แล้วจะเริ่มต้นอย่างไร

ฉะนั้น พยายามพุทโธๆ หรืออานาปานสติ เวลามันจะเข้าสู่อัปปนานะ พุทโธหายนี่แหละถึงเข้าสู่อัปปนา พุทโธหาย ลมหายใจ ชัดเจนของมัน เราพุทโธๆ หรือกำหนดลมหายใจชัดเจนๆ ถ้ามันไม่เข้าสู่อัปปนาคือไม่สิ้นกระแส จิตมันยังเห็นนะ ลมหายใจมันเป็นลำแสง เป็นลำแสงเลย หายใจสั้นหายใจยาวรู้เห็นทั้งนั้น แต่จิตมันไม่เข้า เวลาจิตมันจะเข้านะ แสงนั้นจะดับไป ทุกอย่างจะดับไป แต่สติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ สักแต่ว่าปรากฏ มันจะมีกำลังขึ้น แล้วเวลาจะมีกำลังขึ้น เวลามันจะคลายออกมา

มันไม่รับรู้นะ เวลาจิตสงบรวมใหญ่ สักแต่ว่าปรากฏ กายกับใจอยู่ด้วยกัน ร่างกายไม่มี ใจล้วนๆ นามธรรมทั้งสิ้น เวลาเข้าสมาบัติ เวลาเนวสัญญานาสัญญายตนะ

มีพระอรหันต์ในสมัยพุทธกาลเข้าสมาบัติ ๗ วัน ไปอยู่ในกองฟาง แล้วเมียของกษัตริย์ในสมัยพุทธกาลลงมาอาบน้ำ อาบน้ำแล้วเวลาขึ้นจากน้ำมันหนาว ก็จุดไฟผิงไง เผาอย่างไร พอเผาไป พอฟางมันหมด โอ้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้านั่งอยู่กลางกองฟาง ไฟเผาไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดกระทบกระเทือนกับอัปปนาสมาธินี้ได้

แต่เพราะด้วยความกลัวโทษภัย เพราะเป็นอาจารย์ของกษัตริย์ เที่ยวไปหาไม้หาฟืนมาสุมมาเผาเพราะจะทำลายหลักฐาน ทำอย่างไรก็ไม่ไหม้ ถึงที่สุดแล้วยอมจำนน เวลาพระปัจเจกพุทธเจ้าออกจากสมาบัติ ปกติ นี่เวลาสักแต่ว่าปรากฏ

ถ้าจิตมันกำหนด กำหนดลมหายใจ กำหนดพุทโธๆ พุทโธละเอียดเข้าไป ไม่ใช่พุทโธหายโดยการลืม ไม่ใช่พุทโธหายโดยไม่สนใจ ไม่ใช่พุทโธหายโดยการวางเฉย ไม่ใช่พุทโธหายโดยกิเลสมันตาย มันแกล้งตาย เป็นมิจฉาทั้งนั้น เป็นการฝึกหัดปฏิบัติหลงทางทั้งนั้น เป็นการปฏิบัติขึ้นมา นี่ไง อยากให้เขาเชิดชู อยากจะให้เขารับรู้

อยากให้เขา...แล้วตัวเราล่ะ

แต่ถ้าเป็นข้อเท็จจริง ถ้ามันขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แต่มันยังขุดคุ้ยและค้นคว้าหาไม่ได้ เราก็ทำของเราต่อเนื่องขึ้นไป ถ้าต่อเนื่องขึ้นไปมันสักแต่ว่าปรากฏ นี่จิตล้วนๆ อัปปนาสมาธิ รวมใหญ่ ตรงนี้ใช้ปัญญาไม่ได้เพราะมันไม่กระทบไง มันไม่เสวย จิตเป็นหนึ่งไม่พาดพิงอารมณ์

อุปาจาระมันพาดพิงไง พาดพิงอารมณ์ เพราะวิปัสสนามันต้องวิปัสสนากาย เวทนา จิต ธรรม ธรรมก็อารมณ์นั้นไง เป็นธรรมเพราะจิตเป็นสัมมาสมาธิ แต่เป็นสัมมาสมาธิก็ไม่รู้ก็ไม่เห็น

นี่สติปัฏฐาน ๔ จริงๆ สติปัฏฐาน ๔ ในพระพุทธศาสนา สติปัฏฐาน ๔แนวทางสติปัฏฐาน ๔ ของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นไง ในวงกรรมฐานไง

ถ้าเขาเห็นกาย เขาเห็นกายด้วยสัมมาสมาธิ ถ้ามันเห็นกาย เห็นไหม มันเห็นของมัน มันจะเห็นกิเลส แล้วเห็นกิเลสแล้ววิปัสสนาอย่างไร วิปัสสนาเป็นหรือไม่เป็น ถ้าไม่เป็น มันก็ต้องฝึกหัดปฏิบัติ ถ้าไม่เป็นมันไม่รู้ ถ้าไม่รู้ก็ไปหาหลวงปู่มั่น

หลวงปู่มั่นก็บอกเลย ถ้าจิตสงบแล้วก็พิจารณามันสิ ถ้าพิจารณาไม่ได้ก็กลับมาที่ความสงบอันนั้น รักษาจิตให้มันเป็นสิ

ถ้าจิตมันไม่เป็น ทำอย่างไร

ถ้าแล้วทำแล้วให้มันเป็นข้อเท็จจริงนั้น ถ้ามันข้อเท็จจริง ถ้ามันพิจารณาไปแล้ว ถ้ามันปล่อย ปล่อยมันของชั่วคราวๆ ถ้าชั่วคราว มันทางสายกลางในพระพุทธศาสนา ถ้ามรรคสามัคคี คำว่า มรรคสามัคคี มันต้องสมดุลพอดีของมัน ถ้าการสมดุลพอดี เห็นไหม

ถ้าทำโดยข้อเท็จจริงเป็นสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิถ้ายกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะเห็นกิเลส มันรู้จักกิเลส แล้วถ้ามันพิจารณาไปแล้วมันปล่อยวางๆ ปล่อยวางก็ของชั่วคราวเท่านั้น ของชั่วคราวคือการพิจารณาเริ่มต้นมันยังไม่สมบูรณ์แบบของมัน มันก็ปล่อยของมัน แต่ปล่อยแล้วมันไม่สิ้นกระแสความ กิเลสมันไม่สมุจเฉทปหาน คือมันไม่มีขณะนี่ไง

ทำไมต้องมีขณะ เขาถามนะ ทำไมต้องมีขณะ

ขณะก็ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน แล้วตนว่าไม่รู้ขณะ ตนจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสมันหลุด ตนไม่รู้จักขณะ มันจะรู้ได้อย่างไรว่ากิเลสมันตาย

แล้วทำไมต้องมีขณะล่ะ

มีขณะ ก็ขณะที่มึงทำได้เป็นขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เป็นหรือไม่เป็น ถ้าเป็นขึ้นมามันถึงจะเป็นข้อเท็จจริง เวลามันเป็นข้อเท็จจริงของมัน นี่เป็นขณะ มันคือนิโรธ นิโรธคือมันดับทุกข์

มันดับตรงไหนล่ะ

เวลามันดับๆ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะอ่อนลง กามราคะ ปฏิฆะขาดไป ขณะทั้งนั้น ขณะคู่ ๑ คู่ที่ ๒ คู่ที่ ๓ คู่ที่ ๔ นิโรธ ดับทุกข์ๆๆ ดับทุกข์โดยอริยสัจไง อริยสัจ เห็นไหม เวลาเป็นข้อเท็จจริงไง

แล้วข้อเท็จจริงอย่างไร

สติ มหาสติ คู่ที่ ๑ คู่ที่ ๒ นี่สติ คู่ที่ ๓ มหาสติ คู่ที่ ๔ ปัญญาญาณ ละเอียดลึกซึ้งกว่านั้น ถ้าไม่มีสติ มหาสติอย่างนั้น จะรู้เท่าทันสติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรมอย่างละเอียดไม่ได้

อย่างเริ่มต้น อย่างเริ่มต้นก็สมบุกสมบันกันอยู่นี่ ถ้าสมบุกสมบัน ถ้ามันรู้จริงเห็นจริงขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้น

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัตินั้นปฏิบัติตามความเป็นจริง มันเข้าไปแล้วนะ มันเคว้งคว้าง แล้วเราจับต้องสิ่งใด ถ้าคนไม่เป็น แล้วจะทำอย่างไรๆ มันหันรีหันขวางทั้งนั้นน่ะ พยายามไปเถอะ

หลวงตาพระมหาบัวท่านพูดไง อยู่กับหลวงปู่มั่น ออกไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาออกจากหลวงปู่มั่นมามันไปไม่ได้ เวลาเอาจริงเอาจังขึ้นมามันไปไม่พ้น ต้องกลับไปหาท่าน แล้วไปหาท่าน อ้าว! มาแล้วหรือ แล้วมันเป็นอย่างไรว่ามา

ก็รายงานผลเลย

ท่านบอก ทำไมเอ็งโง่อย่างนั้นล่ะ ทำไมเอ็งขาดสติอย่างนั้นล่ะ

ก็มันอยู่แค่นี้ มันฟังทีเดียวจบเลยนะ จบคือว่ามันหลุดไปจากความสงสัย แล้วทำได้อย่างนั้นจริงๆ เพราะเราเข้าไปแล้วมันเคว้งคว้างไง แล้วจะทำอย่างไรล่ะ

พิจารณากาย พิจารณากายอย่างไร ก็พิจารณามาแล้ว แล้วกายมันคายหมดเลย มันวางหมดเลย

แล้ววางแล้วเป็นอย่างไรต่อ

ก็ยังงงๆ อยู่นี่ไง

ตทังคปหานเป็นอย่างนั้นน่ะ แต่เวลาขณะสมุจเฉทนะ ดั่งแขนขาด อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก สันทิฏฐิโกคือรู้แจ้งในใจของตน นี่รู้แจ้งขึ้นมา ไม่ต้องมีใครบอกเลยล่ะ

แต่ขณะที่ไม่เป็น โอ้โฮ! หาคนบอก หาคนแก้ไข

แก้ไขอะไร เอ็งไม่มีให้แก้ไข เพราะวางเฉย กิเลสแกล้งตาย แล้วกิเลสมันก็พอกพูน แล้วก็ปฏิบัติบูชากิเลส พูดธรรมะแจ้วๆๆ แต่เลื่อนลอย แล้วเดี๋ยวสับปลับ พูดแล้วไม่เหมือนเดิม พูดเลื่อนไปเรื่อย เพราะมันเป็นสัญญา

สันทิฏฐิโก มึงถามเมื่อไหร่บอกมา ถามมาเลย เพราะมันดั่งแขนขาด กิเลสมันขาด เพราะอะไร เพราะนิโรธ ขณะคือนิโรธ คือดับทุกข์ มันอยู่ที่ใจไง

พระอรหันต์หลงในอะไร

หลงในสมมุติบัญญัติ เพราะสมมุติบัญญัติมันเปลี่ยนทุกวัน จะชื่อใครเดี๋ยวก็เปลี่ยน สมมุติบัญญัติมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา พระอรหันต์คลาดเคลื่อน

พระอรหันต์ไม่หลงในอะไร

อริยสัจอันนี้ ขณะ จะหลงได้อย่างไร มันเป็นที่ใจ ใจมันเป็น ใจมันรู้ แล้วรู้ด้วยว่าเป็นเมื่อไหร่ เป็นที่ไหน เป็นอย่างไร ไม่อย่างนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอาสวักขยญาณ ที่เนรัญชราใช่ไหม ที่โคนต้นโพธิ์ ทำไมเป็นอย่างนั้นน่ะ ครูบาอาจารย์เป็นที่ไหน เป็นอย่างใด มันฝังใจทั้งนั้นน่ะ

หลวงปู่ขาวไง เวลาจะออกมาจากโหล่งขอด มันละล้าละลัง เห็นคุณเห็นประโยชน์ไง เห็นคุณของเขา เป็นที่ไหนมันฝังใจที่นั่น แล้วถ้าจริงแล้วมันฝังที่หัวใจต่างหาก แต่หัวใจไปฝึกฝนตรงนั้น

ขนาดสถานที่ เห็นไหม สัปปายะ ๔ สถานที่เป็นสัปปายะ อาหารเป็นสัปปายะ หมู่คณะเป็นสัปปายะ ครูบาอาจารย์เป็นสัปปายะ สัปปายะ ๔ ในพระพุทธศาสนา แล้วใจเราเป็นสัปปายะหรือไม่

กายเป็นสัปปายะ จิตต้องวิเวก จิตต้องเป็นสัปปายะ จิตต้องเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม ฝึกสติของเราขึ้นมา ทำเพื่อหัวใจของตนไง ให้มันถูกต้องชอบธรรม

ถ้าทำไปโดยกิเลส กิเลสมันแกล้งตาย มันตายแล้ว ไม่มี สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กิเลสมันแกล้งตาย

แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม ทำความสงบของใจเข้ามา จิตสงบแล้วขุดคุ้ยค้นคว้า “เห็นกิเลส” เห็นกิเลสจริงๆ เพราะกิเลสมันอยู่ที่จิตของเรา

แล้วเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทุกข์เจียนตายแต่ไม่ตาย ทุกข์เถอะ ทุกข์บีบคั้นขนาดไหนไม่มีตาย เพราะจิตตกนรกอเวจีมันตายที่ไหน พ้นจากเวรจากกรรมขึ้นมามันถึงได้มาเกิด เกิดเป็นสัตว์ พ้นจากสัตว์มันเกิดเป็นมนุษย์ ทำคุณงามความดีไปเกิดเป็นเทวดา หมดเวรหมดกรรมก็ลงมาอีก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เอ็งจะไปอย่างนี้ตลอดไปใช่ไหม เริ่มต้น ท่ามกลาง ไม่มีที่สิ้นสุด

การฝึกหัดประพฤติปฏิบัติตามข้อเท็จจริง สัมมาทิฏฐิถูกต้องชอบธรรม ความเพียรชอบ ทำความเพียรชอบแล้วฝึกหัด เพราะกิเลสเท่านั้นบิดพลิ้วให้ความเพียรเราให้กิเลสมันครอบงำ ความเพียรชอบมันจะเข้าสู่ความชอบธรรม สัมมาสมาธิ ขุดคุ้ยค้นคว้า การขุดคุ้ยค้นคว้าเห็นกิเลส

กิเลสมันไม่มีตายหรอก กิเลสมันเห็นชัดๆ อยู่ แต่มันแกล้งตาย พลิกแพลงเราปั่นป่วนไปเลย ยังหลงใหลไปว่ามันตายแล้ว

มันแกล้งตาย ฟื้นมาน่ะทุกข์เจียนตาย แต่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา เห็นมัน รู้หน้ามัน เห็นตัวมัน ฆ่ามันๆ ด้วยขณะ ด้วยนิโรธเป็นชั้นเป็นตอนถึงที่สุดแห่งทุกข์ เอวัง