เทศน์เช้า วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม ฟ้าหลังฝน ทุกอย่างสวยงามมาก ฟ้าหลังฝนมีความสดชื่นมาก แต่ฟ้าหลังฝนถ้าพายุมานะ เวลาเฮอร์ริเคนมันมาในป่าในเขามันทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารของเขา ถ้ามันทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารของเขานะ
คนอยู่ป่าอยู่เขาเขาอาศัยที่นั้นดำรงชีพ นั่นน่ะสิ่งที่เขาไว้ดำรงชีพ เวลาฟ้าหลังฝนๆ ไง แต่ฟ้าหลังฝนถ้ามันทำลายพืชพันธุ์ธัญญาหารนั้นก็เป็นทุกข์เป็นร้อนของเขา แต่ฟ้าหลังฝนของคนที่อุดมสมบูรณ์ เวลาฟ้าหลังฝนมันสดชื่น มันอบอุ่น ถ้าอบอุ่นขึ้นมามันมีความสุขของมัน มีความสดชื่นของมัน นี่พูดถึงว่าฟ้าหลังฝนๆ
ชีวิตของเราก็เหมือนกัน ชีวิตของเรามีอุปสรรคขวากหนามไปทั้งสิ้น ถ้ามีอุปสรรคขวากหนาม ถ้าเราบากบั่นผ่านไปแล้ว ถ้าผ่านไปแล้ว เราจะมีความอุ่น จะมีความชื่นใจว่า เราก็มีความสามารถเหมือนกัน เราก็สามารถฟันฝ่าอุปสรรคของเราได้เหมือนกัน แล้วอุปสรรคนี้มันจะเป็นการฝึกฝน ฝึกฝนให้จิตใจเข้มแข็งขึ้นๆ ถ้าจิตใจเข้มแข็งขึ้น เข้มแข็งเป็นชั้นๆ ขึ้นไป
แต่คนเรามันมีจุดความอดทนของคนมันมีไม่เท่ากันไม่เสมอกัน เวลาความอดทนของคนนะ เวลาความอดทนของคนมันมีจำกัด ถ้ามีจำกัดขนาดไหน การสร้างสมของเราๆ
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
ด้วยความไม่ประมาทๆ ไง ความประมาททำให้เราบกพร่อง ทำให้เราเสียหาย ความประมาท เห็นไหม เราไม่ประมาทในหน้าที่การงานของเรา ไม่ประมาทในชีวิตของเรา เราไม่ประมาทในการดำรงชีพของเรา เราจะไม่ประมาทๆ ไง
ความไม่ประมาทในหน้าที่การงานของเรา ทำงานของเรา เรามีสติปัญญาของเรา ถ้าเราไม่ประมาทในหน้าที่การงานของเรา เราทำสิ่งใดความขาดตกบกพร่องมันก็น้อยลงไป เราไม่ประมาทในชีวิตของเรา เราก็รักษาชีวิตของเรา เรามีสติปัญญาของเราทั้งสิ้น ทำสิ่งใดเราพยายามตั้งสติของเราไว้ด้วยความไม่ประมาทๆ นั่นมันเรื่องชีวิตของเรานะ
แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง “เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”
เวลาสังขาร สังขารมันได้สองอย่าง ทางโลก ความคิด ความปรุง ความแต่ง
ทางโลก สังขารร่างกาย สังขารคือวัตถุธาตุ สังขารต่างๆ นี่สังขาร
เวลาผู้ที่ปฏิบัติธรรม สังขาร สังขารคือความคิด ความปรุง ความแต่ง
ถ้าเธอไม่ประมาทกับความคิดของเธอ เธอมีสติปัญญาเท่าทันในความคิดของเธอ ถ้าเท่าทันความคิดของเธอนะ เวลามันคิด มันคิดบวก เวลาคิดบวก คิดหน้าที่การงานของเรามันก็คิดเป็นหน้าที่การงานที่สะอาดบริสุทธิ์ด้วย นี่ถ้ามันคิดบวกนะ เวลาคิดบวก คิดการงานก็ได้ คิดสิ่งใดก็ได้ด้วยความไม่ประมาท ด้วยมีสติมีปัญญา
แต่ชีวิตนี้มันได้มา ได้มาด้วยแสนยากนะ ได้มาด้วยแสนยากนะ เวลาดูคนที่เขาไม่พร้อม ชีวิตเขาไม่พร้อม เขาทำลายชีวิตของเขา ชีวิตที่มีคุณค่า มีคุณค่าที่ไหน
มีคุณค่านะ ถ้าเรายังไม่เคยภาวนานะ เรายังไม่เคยทำความสงบของใจเข้ามานะ ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา เวลาเราทำสมาธิได้เราจะเห็นคุณค่าของหัวใจนี้มาก เราจะเห็นคุณค่าสิ่งที่มีชีวิตนี้มาก สิ่งที่มีชีวิต เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ก็รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของคน
เวลาหลวงตาท่านไปไหนท่านไปเอาใจคนๆ
จิตใจที่มันยิ่งใหญ่ จิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจของคนที่มีคุณธรรม คิดสิ่งใดเป็นประโยชน์กับสาธารณะ จิตใจที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่คนมีคุณธรรมในหัวใจ ร่มโพธิ์ร่มไทรน่ะ สิ่งที่ความยิ่งใหญ่อันนั้นไง
แล้วถ้าจิตใจของเรา เราทำความสงบของใจของเราเข้ามา เวลามันเข้าไปสู่ความสงบของเราน่ะ สัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
นี่มันผลของวัฏฏะนะ ผลของวัฏฏะคือการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์นรกอเวจีต่างๆ
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สถานะอย่างใดมามันก็รู้ได้แค่ในสถานะของตน พรหมก็รู้เท่ากับความรู้คิดของพรหม เทวดาก็รู้เท่าความคิดของเทวดา มนุษย์ก็รู้เท่าความคิดของมนุษย์ มนุษย์เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้วย พยายามคิดค้นวิเคราะห์วิจัยต่างๆ ขึ้นมามันก็เป็นความรู้ของมนุษย์ ความรู้ของโลกทั้งสิ้น ความรู้ของวัฏฏะไง
แต่เวลาเราทำความสงบใจเข้ามา ใจมันสงบเข้ามา ปฏิสนธิจิต จิตที่เวียนว่าตายเกิดในวัฏฏะ จิตที่ไม่มีต้นไม่มีปลาย จิตที่ไม่เคยตายๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันได้สถานะสิ่งใด ถ้าได้สถานะสิ่งใดมันก็คิดได้ขนาดนั้น
นี่เราได้สถานะของความเป็นมนุษย์มา ได้สถานะของความเป็นมนุษย์นะ เกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนให้พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย ถ้าพ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นพยานอยู่ ๒,๕๐๐ ปี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าดำรงชีพอยู่ ไม่ใช่
พ้นจากการเกิด การแก่ การเจ็บ การตายเพราะไปทำลายเชื้อไขของการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย เวลาไปทำลายเชื้อไขคืออวิชชา คือความไม่รู้ คือตัณหาความทะยานอยาก พ้นออกไปจากใจดวงนั้น ใจดวงนั้น สิ่งที่พ้นออกไปแล้ว สิ่งที่มีคุณค่าในหัวใจของตนมันมีความมหัศจรรย์ๆ ที่มีคุณค่า มีคุณค่าอย่างนี้ไง
มีคุณค่านะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ทั้งๆ ที่เป็นของเรา ทั้งๆ ที่พาเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แต่เราไม่เคยเห็นมันไง แต่เราเห็นสถานะของความเป็นมนุษย์ เป็นมนุษย์ที่มีปัญญาเสียด้วย เป็นมนุษย์ที่ไบรต์คิดได้ทุกอย่างเสียด้วย...แต่ตายเปล่า เธอประมาทในชีวิต ประมาทในชีวิตแล้ว
ถ้าไม่ประมาทในชีวิต เราเกิดมามีหน้าที่การงาน ด้วยความสามารถของคน ด้วยอุดมการณ์ของคน อุดมการณ์ของคน คนที่มีอำนาจวาสนาขนาดไหน เขาทำประกอบสัมมาอาชีวะประสบความสำเร็จมากน้อยขนาดไหน นั่นอุดมการณ์ของเขาด้วยอำนาจวาสนาของเขา นี่เรื่องของโลกไง
แต่ถ้าเรื่องของธรรมๆ ถ้าเราไม่ประมาทๆ เวลาชาวพุทธๆ เรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด
การปฏิบัติบูชาคือการค้นคว้าเข้าไปสู่จิตของตน การค้นคว้าเข้าไปสู่จิตของตน เวลาค้นคว้าเข้าไปในหัวใจของตน นั่นน่ะคือโอกาสของเรา โอกาสในการกระทำของเรา
เราทำหน้าที่การงานของเราคิดด้วยสมอง เวลาจิตมันสงบเข้าไปแล้ว ถ้าเราทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าจิตมันสงบ ถ้าจิตสงบมันก็เกิดความมหัศจรรย์ของมันแล้ว ถ้าจิตมันสงบขึ้นมามันเชื่อมั่นในพระพุทธศาสนามาก
เวลาคนไปเที่ยวอินเดียไปสังเวชนียสถานทั้ง ๔ เวลาเขาไปแล้วเขาปลื้มใจๆ น่ะ เขาปลื้มใจว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีจริง ธรรมะมีจริง สัจจะมีจริง สิ่งที่เป็นประเพณีวัฒนธรรม เป็นศิลปวัฒนธรรม มันเห็นได้ มันยืนยันได้ โอ๋ย! ปลื้มๆ
แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาจิตมันสงบระงับเข้ามา พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ถ้าคนเข้าไปสู่สัมมาสมาธิด้วยความเป็นจริงไง
แต่นี่เข้าไปแล้วมันก็มหัศจรรย์แต่มหัศจรรย์แบบครึ่งๆ กลางๆ เวลาบอกคิดๆ คิดให้มันว่างๆ ว่างๆ มันก็มหัศจรรย์ตัวมันเองนะ ถ้าไม่มหัศจรรย์ตัวมันเองมันจะไม่มาถามหรอก นั่นมันคืออะไรๆ
เวลามาถามหลวงพ่อ “หลวงพ่อ นั่นคืออะไรน่ะ ว่างๆ คืออะไรน่ะ”
นั่นมันก็มหัศจรรย์เหมือนกัน แต่ครึ่งๆ กลางๆ มันไม่มหัศจรรย์ด้วยความเป็นจริงไง
แล้วถ้ามันเป็นจริง เวลามันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เวลาเราตึงเครียดขนาดไหน เวลาภาวนาขนาดไหน เวลามันปล่อยวางมันกลมกลืนกัน เรามีคุณค่าขึ้นมาแล้ว แล้วมันละเอียดเข้าไปๆ ละเอียดเข้าไปจนมหัศจรรย์ ขนพองสยองเกล้า นี่คนที่เป็น คนที่ไม่เป็นไม่ต้องไปสนใจมัน
คนที่เป็นขนลุกขนพอง เวลาขนลุกขนพอง นั่นน่ะปฏิกิริยา นั่นมันเป็นทางเคมีหรือเปล่า
ใช่ ทางเคมี ทางเคมีของร่างกายไง แต่มันโดนกระตุ้นด้วยอะไร มันโดนกระตุ้นด้วยจิตไง ถ้าจิตมันโดนกระตุ้นขึ้นไป เวลามันพัฒนามันดีขึ้น เวลาถ้ามันพุทโธๆ จนมันปล่อยวางหมดเป็นอิสระ
เป็นอิสระ เวลาจิตมันเป็นอัปปนาสมาธิ จิตนี้อยู่ในร่างกายนี้ที่ได้สถานะความเป็นมนุษย์ แต่เราพุทโธๆ จนมันปล่อยวางหมด มันดำรงโดยจิตเป็นอิสระโดยที่ไม่รับรู้ร่างกายความเป็นมนุษย์นี้ ความเป็นมนุษย์นี้มันไม่รับรู้เลยล่ะ เพราะว่าอะไร เพราะว่ามันตัดอายตนะ ตัดความรับรู้สึกทั้งหมด อัปปนาสมาธิน่ะ
แล้วบอกมีลึกๆ ลึกๆ
ลึกๆ อะไร
เราฟังพระเทศน์ “ในอัปปนาสมาธิเราก็คิดของเราลึกๆ ว่า...”
เออ! คิดได้ คิดได้ไม่ใช่อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่
ถ้ามันเป็นอัปปนาสมาธิ สักแต่ว่ารู้ ไม่ปรากฏ มีแต่ความรู้สึก ความปรากฏขึ้นยังไม่ปรากฏ ถ้าความปรากฏขึ้นมันปรากฏขึ้นมานี่รับรู้แล้ว ธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้
ไอ้ที่บอกว่า จิตนี้เป็นธาตุรู้ สิ่งที่ถูกรู้ รู้คืออารมณ์
ไอ้ที่มึงพูดน่ะอารมณ์ทั้งสิ้น ไอ้ที่ว่ารู้ๆ นั่นน่ะกระทบแล้ว เพราะอะไร เพราะมันไม่เคยเห็น มันไม่เคยทำ ทำไม่ได้ถึงที่สุดไง
พอทำถึงที่สุด เราทำเข้ามานะ อัปปนาสมาธิเป็นอัปปนาสมาธิ ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เวลาจะวิปัสสนาๆ เวลาต้องออกมาอุปจารสมาธิ คำว่า “ออกมาอุปจารสมาธิ” คือคลายออกมา จากสิ่งที่ไม่ปรารกฏมันปรากฏขึ้น อะไรปรากฏ อะไรปรากฏ
ปรากฏ จิตมันรับรู้ได้น่ะ นั่นน่ะอุปจาระ มันรับรู้ได้ มันพิจารณาได้ นี่ปัญญามันเกิดขึ้นตรงนั้น ถ้าปัญญาเกิดตรงนั้น คนที่มีวาสนาขึ้นมามันจับต้องได้มันวิปัสสนาตรงนั้น นี่ไง ความไม่ประมาท
อย่าว่าแต่ความประมาทเลย เราไม่เข้าใจมัน ถ้าเราไม่เข้าใจมัน เราทำสิ่งใดไม่ได้ สิ่งที่มีคุณค่าๆ น่ะ แล้วมีคุณค่าตรงไหน มีคุณค่าคือจิตดวงนั้นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ จิตดวงนั้นมีอำนาจวาสนา มีอำนาจวาสนายึดมั่น มีสัจจะมีความจริง กล้าว่าจะเข้าไปเผชิญกับจิตของตน กล้านั่งลงสู่ กล้านั่งทำสมาธิ กล้ากำหนดลมหายใจของตนให้มันคืนสู่บ้านของตน คืนสู่ฐาน ฐีติจิตคือคืนสู่ใจของตน
ใจของตนที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลของวัฏฏะๆ ผลของวัฏฏะคือสถานะที่เราได้รับมา เราได้รับสิ่งใดมา ผลของวัฏฏะคือบุญกุศลส่งเรามา ในปัจจุบันนี้ส่งให้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ไง
แม้แต่เกิดเป็นมนุษย์แล้วอำนาจวาสนาของคนยังไม่เท่ากันเลยนะ บางคนคาบช้อนเงินช้อนทองมานี่ โอ้โฮ! เกิดมามีความอุดมสมบูรณ์ไปทั่ว ทุกอย่างพร้อมเพรียงไปทั้งหมด บางคนเกิดมาขัดสนทุกข์จนเข็ญใจจนพ่อแม่เอาไปทิ้ง พ่อแม่เอาไปทิ้งนั่นน่ะ นี่เกิดมาแล้วไม่เท่ากัน เกิดมาแล้ววาสนาไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าเอาไปทิ้ง เอาไปทิ้งมันก็เป็นกรรมเฉพาะ ดูสิ หมอชีวก หมอชีวกพ่อแม่ก็เอาไปทิ้งถังขยะเหมือนกัน สุดท้ายแล้วคนไปเจอ มัลลกษัตริย์เอาไปเลี้ยง จากลูกคนทุกข์คนจน คนที่พ่อแม่เอาไปทิ้ง แต่ด้วยวาสนา พอเอาไปทิ้งแล้วได้ไปอยู่กับกษัตริย์ กษัตริย์ส่งร่ำส่งเรียนจนเป็นหมอชีวก มีชื่ออยู่ในพระพุทธศาสนา เป็นหมอประจำองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ดูสิ ดูวาสนาของคนสิ เวลาเกิดมาคนเอาไปทิ้งนะ นี่พูดถึงว่า ถ้าเอาไปทิ้งส่วนเอาไปทิ้ง คนเกิดมาถึงว่าวาสนาคนไม่เท่ากัน ถ้าวาสนาของคนไม่เท่ากันนะ เวลามาประพฤติปฏิบัติก็แตกต่างกัน เวลาแตกต่างกัน ใครมีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหน
แม้แต่เลือกไปวัด เวลาไปวัดด้วยศรัทธาของเรานะ เราอยากทำบุญกุศลของเรา เราไปวัด เราได้ทำบุญกุศล เวลาเราจะทำบุญตักใส่บาตรให้ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สิ่งที่เราได้มาด้วยความทุกข์ความยากขนาดนี้ เราถวายองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็ทำบุญไป สมณะผู้ดำรงชีพด้วยปลีแข้งเขาบิณฑบาตของเขาด้วยอำนาจวาสนาของเขา มันเป็นบุญกุศลที่สะอาดบริสุทธิ์ไง
ที่เราเลือกจะไปวัดไปวา เรายังเลือกจะไปวัดไปวาอย่างไร ถ้าจะไปวัดไปวาขึ้นมามันเลือกที่หัวใจของเราก่อน เรามีเจตนาที่สะอาดบริสุทธิ์ของเราไง เราเจตนาเราทำให้หัวใจเราสะอาดบริสุทธิ์ ถ้าหัวใจเราสะอาดบริสุทธิ์ มันจิตสาธารณะไง มันไม่เล่นแง่เล่นงอนไง เวลาจะไปวัดก็เล่นแง่เล่นงอน จะอย่างนู้นจะอย่างนี้ กิเลสมันปลิ้นมันปล้อนตลอดเลย
นี่ไง การทำทาน ทำทานก็เพื่อปราบปรามความตระหนี่ถี่เหนียวในหัวใจของตน ถ้ามันปราบปราม ถ้าจิตมันเป็นสาธารณะมันยอมรับต่างๆ ขึ้นมา เวลามันศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาด้วยความเป็นกลาง ศึกษาด้วยความไม่ใช่เข้าข้างกิเลสของเรา เวลาเข้าข้างกิเลสของเรานะ อันนี้ใช่ อันนั้นไม่ใช่ อันนู้นไม่ใช่ อันนี้ไม่ใช่
ลองทำดูก่อน
ปริยัติศึกษามา ศึกษามาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติขึ้นมาให้มันตามความเป็นจริง เพราะตามความเป็นจริงขึ้นมามันอยู่ที่จริตนิสัยแล้ว ถ้าจริตนิสัยของคนมันสมควรจะเข้าช่องทางใด ถ้าเข้าช่องทางใดมันตรงกับจริตนิสัย มันเหมือนกับอาหาร
อาหารแต่ละภูมิภาคไม่เหมือนกัน คนเกิดในภูมิภาคใด ตั้งแต่เล็กแต่น้อยมาเขาได้ทานอาหารอย่างนั้นมา เขาก็ชอบอาหารอย่างนั้นเป็นพื้นฐาน แต่อาหารอย่างอื่นก็กินได้ อาหารอย่างอื่นก็กินได้แต่ไม่ชอบ ไม่สะใจเหมือนกับสิ่งที่เราเคยได้กินมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย
นี่ไง ถ้ามันเป็นจริตนิสัย มันตรงกับจริตนิสัย มันชอบ มันสะดวกสบายของมัน มันทำของมันทำไปได้ แต่มันอยู่ที่ความเพียรชอบ เรามีความเพียรหรือเปล่า เรามีความจริงหรือเปล่า นี่ถ้าเราไม่ประมาทไง
เราประมาทกับชีวิตนะ ถ้าประมาทกับชีวิต ชีวิตนี้มันได้มาด้วยสิ่งที่มีคุณค่ามาก ถ้ามีคุณค่ามาก เวลาวันเวลามันไล่เรามาตลอดใช่ไหม อายุที่ได้มาคือวันเวลาที่เสียไป แล้วคนเราไม่เกินร้อยปีทั้งนั้นน่ะ ร้อยปีเศษๆ ถ้ามีบ้างก็เล็กน้อย แต่เวลาของเราไม่เกินร้อยปีทั้งสิ้น
แล้วเวลาแก่ชราภาพขึ้นไปแล้ว ชราคร่ำคร่า ชราคร่ำคร่านี่อริยสัจสัจจะความจริงทั้งสิ้น สัจจะความจริง แต่เราไม่เคยดูแลไม่เคยรักษาสิ่งใดเลย เราไปแสวงหาสิ่งที่การดำรงชีพ เราแสวงหาสิ่งที่เป็นภายนอก ว่าส่งออกๆ ไง แล้วบอกว่า ก็ไม่ประมาทในชีวิตไง ก็ทำคุณงามความดีแล้วไง ทำทุกอย่างพร้อมแล้วไง ก็ไม่ประมาทในชีวิต
ไอ้นี่มันชีวิตประจำวัน แต่คุณค่าในหัวใจน่ะ คุณค่าในหัวใจ คุณธรรมน่ะ ถ้าคุณธรรมมันพัฒนา พระโพธิสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย เวลาท่านทำของท่าน นั่นน่ะบุญกุศลอย่างนั้นน่ะ นี่บุญกุศลเป็นอามิส เป็นอามิสคือการขับเคลื่อนมันมีหมดได้
แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติของเราตามความเป็นจริงของเราขึ้นมา ถ้าความเป็นจริงของเราขึ้น เราเข้าสู่ในใจของตน ผลของวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมาถ้ามันมีดวงตาเห็นธรรมขึ้นมา ๗ ชาติ อีก ๗ ชาติ จากที่ไม่มีต้นไม่มีปลายคือมันหมุนไปวงล้อไม่มีวันหยุด แต่วงล้อมันหมุนอีก ๖ รอบ ๗ รอบ จบ แล้วจบ จบอย่างไร แล้วมันรู้ได้อย่างไร
แต่เขามีพระบางคนเขาบอก “ไม่มีหรอก ๗ ชาติ ๘ ชาติไม่มีหรอก มันไม่เกี่ยวกัน”
นี่ไง คนไปรู้จริงเห็นจริงมันรู้ไง เงินในกระเป๋าเราควักขึ้นมาเท่าไรมีกี่บาทก็รู้ เงินในกระเป๋าเราไม่มีแม้แต่บาทเดียว ควักมามันก็ไม่มี
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีเงินอยู่ ๗ บาท ควักมาก็ ๗ บาท มีเงินอยู่ ๓ บาท ควักมาก็ ๓ บาท ไม่มีเลย ควักมาก็ไม่มีเลย
ไม่มีเลยก็ไม่มีไง ไม่ต้องไง ไม่เกี่ยว ๗ ชาติ ๗ เชิดไม่มีหรอก
ไม่มีคือมันไม่รู้ ไม่รู้ก็ไม่มีต้นไม่มีปลาย ทั้งๆ ที่บอกว่า หมดกิเลส สิ้นกิเลส ไม่มีสิ่งใดเลย แต่ถ้าไม่รู้สิ่งใดเลยมันจะหมดไปได้อย่างไร สิ่งที่มันจะหมด มันจะหมดมันต้องรู้ได้ตามความเป็นจริงของมัน เห็นไหม
นี่พูดถึงว่า ถ้ามันเป็นสัมมาสมาธิแล้วยกขึ้นวิปัสสนาโดยปัญญาชอบ ด้วยความชอบธรรม ถ้าด้วยความไม่ประมาท ความไม่ประมาทของเราคือเราปฏิบัติแล้วครูบาอาจารย์ท่านให้ตรวจสอบ อย่าเพิ่งเชื่อ ถ้ามีความเชื่อนั่นคือติด
สวะมันไปติดอยู่ที่ใด ถ้าแรงดันของน้ำแรงมันจะพัดไป แต่ถ้ามันไปติดอยู่ในที่คับแคบ แรงดันของน้ำมากน้อยขนาดไหนมันก็เอาสวะนั้นไปไม่ได้
ภาวนาไป ไปรู้ไปเห็นสิ่งใดแล้วว่าสิ่งนั้นสมบัติของเรา นั่นน่ะติดหมดน่ะ นั่นน่ะเขาเรียกว่าติด ตัวเองติดนะ นี่ไง หลวงปู่ดูลย์บอกไง สิ่งที่เห็นจริงไหม จริง แต่มันเป็นความจริงหรือไม่ ก็เอ็งติดอยู่มันเป็นความจริงได้อย่างไร ถ้ามันติดอยู่
ปากอ่าวยังอยู่นู่นนะ แล้วจะไปทางแม่น้ำลำคลองยังไปอีกไกลนะ มันจะไปเจอชลประทาน ประตูน้ำที่มันจะปิดประตูเปิดประตูไปได้อีก ไปไม่ได้นะ
นี่พูดถึงว่าครูบาอาจารย์ท่านจะแยกจะแยะ ท่านเคยผ่านมาแล้วท่านจะบอกสิ่งนี้ ถ้าบอกสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อหัวใจของเราไง เพื่อผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเพื่อความเป็นจริงของเรา ถ้าเราทำของเราต้องทำแบบนี้ ถ้าไม่ประมาท
อย่าประมาทกับชีวิตนะ
แม้แต่ว่าเราอุดมสมบูรณ์ทางโลก คนทุกข์คนจนก็ทุกข์ คนร่ำรวยก็ทุกข์ แล้วเวลาคนที่มีอำนาจวาสนาขนาดไหนเขาต้องการแสวงหาสิ่งที่ว่าไม่ตาย อยู่ค้ำฟ้าๆ คนที่มีอำนาจเขาพยายามจะแสวงหาดำรงชีพไว้ให้ไม่ตายๆ มันเป็นไปไม่ได้
แต่ถ้าในพระพุทธศาสนา คนที่มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนเขาก็อยากจะประพฤติปฏิบัติ เขาอยากได้ความจริง เขาอยากได้คุณธรรมอันนี้
ถ้ามีคุณธรรมอันนี้ คนที่มีอำนาจวาสนามากน้อยขนาดไหนนะ ไอ้สิ่งที่เขาทำได้ๆ คาบช้อนเงินช้อนทองมา นั่นก็เป็นลาภของเขา เป็นทรัพย์ภายนอก แต่ถ้าเป็นในใจของเขานะ ศีล สมาธิ ปัญญา ทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติเอง
สุขอื่นใดเราต้องรับรู้ได้เอง อาหารเราต้องกินด้วยตัวเราเอง ทุกอย่างมันจะเข้าไปในร่างกายของเราเอง แล้วเราเจริญเติบโตขึ้นมาเอง
เราไม่ใช่ เห็นไหม สุขภาพกาย สุขภาพจิต สุขภาพกายก็ล้มลุกคลุกคลาน สุขภาพจิตนี่ใช้ไม่ได้เลย นอนอมทุกข์อยู่คนเดียว อยู่คนเดียวก็ทุกข์ อยู่ที่ไหนก็ทุกข์
แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ ไอ้นั่นเป็นความจริงอยู่แล้ว แต่ถ้าเราหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เราบริกรรมคิดถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาจิตถ้ามันปล่อยมันปล่อยหมดเลย ปล่อยทั้งทุกข์นั้นด้วย ปล่อยทั้งสภาพร่างกายนั้นด้วย ปล่อยทั้งความวิตกกังวลนั้นด้วย มันมีอิสระของมันด้วย ถ้ามีอิสระอย่างนี้ ด้วยความจริงใจของใจดวงนี้มันยึดมั่นถือมั่นในพระพุทธศาสนา ยึดมั่นถือมั่นในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาคนจะสิ้นใจให้นึกถึงพระๆ พอนึกถึงพระ พอมันตายมันไปถึงพระก่อนไง จิตทุกดวงต้องทำดีและทำชั่วมาทั้งสิ้น เวลาจะสิ้นใจๆ โบราณเราจะบอกว่า ให้พุทโธๆ ไว้ พุทโธไว้ ให้คิดถึงพระไว้ คิดถึงพระไว้
คิดถึงพระก็คิดถึงความดี แต่ถ้าไม่เคยทำ คิดได้ไหม พระเป็นอะไร จะเอาเหรียญ เอาพระพุทธรูปหรือจะเอาพระเป็นๆ จะเอาพระอะไร
แต่ถ้าพุทธะล่ะ ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคตไง ให้พุทโธๆ ถ้ามันเป็นจริงของมัน นี่มันไม่ประมาทกับชีวิต แล้วมันมีที่พึ่ง
เราแสวงหานะ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนประจำ แล้วไอ้พวกนักปราชญ์นักวิชาการมันจะบอกต่อๆ “เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด เธอจงมีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด อย่าให้มีบุคคลเป็นที่พึ่งเลย”
หลวงตา ครูบาอาจารย์ของเรา ครูบาอาจารย์ที่เข้มแข็งท่านแสวงหาไปหาหลวงปู่มั่น ไปหาหลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะสัจจะความจริงนั้นมันอยู่ในหัวใจของหลวงปู่มั่น หลวงตาท่านไปหาหลวงปู่มั่นเพราะอะไร เพราะหลวงปู่มั่นเป็นคนชี้ทางได้
มหา มหามาหานิพพานใช่ไหม นิพพานมันอยู่ที่ไหนล่ะ มันไม่อยู่ที่วัตถุธาตุ ไม่อยู่ในคัมภีร์ ไม่อยู่ในตำรา ไม่อยู่ในสถานที่ แล้วมันอยู่ที่ไหนล่ะ อยู่ที่ไหนก็ค้นคว้าหาใจของตนสิ ค้นคว้าหาใจให้ได้ ถ้าหาใจได้ ใจดวงนั้นมันมหัศจรรย์ แล้วใจดวงนั้นน่ะมันจะเป็นผู้วิปัสสนา ใจดวงนั้นมันจะเบิกบาน ไม่ใช่ความคิดจากสมอง ไม่ใช่ความคิดจากสัญชาตญาณ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เป็นมรรค ๘ เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา แล้วมันจะเบ่งบานกลางหัวใจนั้น
ไปหานิพพาน นิพพานมันอยู่ที่ไหน นิพพานมันอยู่ที่ไหน
เวลาหลวงตาท่านจบแล้วไง ไม่หา นิพพานก็คือนิพพาน
แล้วนิพพานอย่างไรล่ะ
นิพพานก็รู้เองไง ถ้ารู้แล้วมันจบไง
นี่ถ้าไม่ประมาทกับชีวิตนะ สิ่งมีชีวิตมีคุณค่ามาก สิ่งมีชีวิต สัตว์เขาเกิดมาด้วยเวรด้วยกรรมของเขา เขามีอายุขัยหนึ่ง เทวดา อินทร์ พรหมก็อายุขัยหนึ่ง เราก็อายุขัยหนึ่ง แล้วอายุขัยนี้เราประมาทไหม ถ้าเราไม่ประมาท เราพยายามขวนขวายของเรา ที่ไหนก็ได้ นั่งลง หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ค้นคว้าหาใจของตน เอวัง