ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ยาดอง

๑o มี.ค. ๒๕๖๑

ยาดอง

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๑

วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) .หนองกวาง .โพธาราม .ราชบุรี


ถาม : เรื่องกินเหล้าเพื่อรักษาโรคผิดศีลไหมคะ” 

กราบนมัสการหลวงพ่อ 

ดิฉันอยากทราบว่าหากเราป่วยและจำเป็นต้องรักษาด้วยการกินเหล้า เช่น วอดก้า ในจำนวน ช้อนโต๊ะ ผสมกับสมุนไพรตัวอื่น แบบนี้จะผิดศีลไหมคะ อีกอย่างหนึ่งค่ะ ดิฉันจะถืออุโบสถศีลทุกวันพระ หากต้องกินเหล้าเพื่อรักษาโรคแบบนี้จะผิดศีลหรือไม่ 

ตอบ : อันนี้เป็นปัญหาโลกแตกเนาะ ปัญหาโลกแตก 

เรื่องศีล ศีล เห็นไหม ศีล ถ้าพูดถึงเรื่องศีล ศีล สมาธิ ปัญญา คำว่ารักษาศีล รักษาศีลถ้ามีรักษาศีล เห็นไหม ในพระพุทธศาสนา ถ้าพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้ามีการรักษาศีล ถ้าศีลสะอาดศีลสมบูรณ์นะ กฎหมายแทบ แทบไม่ต้องบังคับใช้เลย นี่ขนาดเขียนมีศีล เป็นชาวพุทธเรามีศีลมีธรรมอยู่แล้ว เรามีกฎหมายก็ยังมีการฉ้อโกงกัน มีการหลอกลวงกันมหาศาล เพราะมันผิดศีลไง ทีนี้ต้นเหตุๆ มันเรื่องของศีลก่อน

ถ้าเรื่องของศีลนะ ศีล ถ้าศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลโดยธรรมชาติของชาวพุทธเขาต้องรู้จักศีล ถ้ารู้จักศีล ขึ้นมา ศีล เวลาไปตามงาน เห็นไหม เวลาขอศีลๆ เวลา ขอศีลขอถือ ข้อบ้าง ขอ ข้อบ้างนี่ ข้อนั้นถือไม่ได้ ข้อนี้ ถือไม่ได้ เพราะเริ่มต้นมาตั้งแต่นั่น ถ้าเริ่มต้นตั้งแต่นั่นขึ้นมา เห็นไหม มันก็เลยเป็นสังคมแบบนี้ สังคมแบบหน้าไหว้หลังหลอก เวลาหลวงตาท่านพูดถึงไง เวลาขอศีลๆ มันเหลือแต่ศูนย์ ขอศีลไปแล้วมันไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีลมันก็เป็นแค่ แค่พิธีกรรม นี่อาราธนาศีลๆ เป็นพิธีกรรม เห็นไหม

เวลาชาวพุทธ เวลาชาวพุทธเราเจริญรุ่งเรือง เจริญรุ่งเรืองด้วยวัฒนธรรม ด้วยศาสนพิธีก็ด้วยคิดรูปแบบ พอรูปแบบ ขึ้นมาก็ทำ เห็นไหม ฉะนั้น เวลาพุทธศาสนาต่างนิกายๆ ความเชื่อก็แตกต่างกัน วัฒนธรรมก็แตกต่างกัน แล้วนี่ชาวพุทธเหมือนกัน ของเราก็ทำแต่เป็นพิธีกรรมเท่านั้น เวลาถึงเวลาแล้ว ก็ขอศีล ขอศีลขึ้นมาแล้วก็ว่าขอถือ ข้อ ถือ ข้อ นี่ว่า ถือกันอย่างนั้น เวลาถือกันอย่างนั้นขึ้นมาแล้วก็ยังว่าใครทำได้ ก็ยังไปล้อเล่นนะ คำว่าล้อเล่นนี่เวลาพูดถึงทางสังคม สังคมก็เป็นเรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องสังคม 

แต่เวลาหลวงตาท่านพูด ไอ้พวกหมาบ้าพวกหมาบ้า คำว่าหมาบ้าคือมากัดแทะไง มากัดแทะธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพวกหมาบ้า ทำเองยังทำไม่ได้ พอทำไม่ได้ขึ้นมายังกลับมาล้อเล่นถากถางกัน เย้ยหยันกันน่ะ สิ่งนี้ไม่ควรทำ ถ้าไม่ควรทำเพราะอะไร เพราะคนทำดีไม่กล้าทำน่ะ เราจะทำความดีกลัวเขาติกลัวเขาเตียน แต่ถ้าเราเหลวไหลไป กับเขานี่ โอ้ย! หัวเราะชอบใจ แต่ถ้ามันจะทำคุณงามความดี เห็นไหม มันเป็นวัฒนธรรม นี่พูดถึงศีล

ถ้ามันมีศีล เวลามีศีล แล้ว ศีล มันคืออะไร 

ศีล เห็นไหม ศีล ถ้ามีศีลแล้วต้องมีธรรม ธรรม ไม่ฆ่าสัตว์ก็ต้องมีเมตตา ไม่ลักทรัพย์ เราก็มีเมตตา เมตตากับสังคมหรือไม่ เราไม่ผิดในลูกเมียของคนอื่น เราก็คุ้มครองดูแล เราต้องมีปัญญาให้เขา ไม่โกหกมดเท็จก็สอนคนให้ซื่อสัตย์ ไม่กินเหล้าเมายาถ้ามันมีศีลมีธรรม ถ้าถือศีลๆ พอถือศีล ถือศีลแล้วไม่ทำอะไรเลยหรือ ศีล ก็ธรรม ธรรม มันก็ทำตรงข้ามทำสิ่งที่ดีงามขึ้นมา นี่พูดถึงเรื่องศีล ก่อน ฉะนั้น พอเรื่องของเรื่องศีลใช่ไหม ถ้าเรื่องศีลมันเป็น ข้อห้ามทั้งนั้น ข้อห้ามเพื่ออะไร ข้อห้ามเพื่อสังคม เพื่อความ ดีงาม เพื่อให้อยู่ด้วยกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุข นี่อยู่ด้วย ความร่มเย็นเป็นสุขก็ผลของวัฏฏะๆ

เวลาเกิดมา เห็นไหม เกิดมาเนี่ยเกิดมาจากสหชาติ เกิดมาพร้อมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เกิดมาสหชาติ เกิดร่วมกับครูบาอาจารย์ ถ้าเป็นครูบาอาจารย์ที่ดี เพราะ เพราะพวกเรานี่พวกนักปฏิบัติ เห็นไหม คนเราชาวพุทธ เรา เชื่อมั่นในพระพุทธศาสนา เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เห็นไหม ส่วนใหญ่แล้วก็อ่านประวัติหลวงปู่มั่น อ่านประวัติหลวงปู่มั่น ทุกคนก็อยากจะได้พบหลวงปู่มั่นๆ แต่หลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้วเกือบ ๑๐๐ ปี เราไม่ทันน่ะ 

คำว่าสหชาติๆเราเกิดร่วมไง เวลาเกิดร่วมไปแล้ว นะ เวลาเกิดร่วมครูบาอาจารย์มาแล้ว เวลาครูบาอาจารย์เรา มีชีวิตอยู่นี่ไม่เชื่อ มนุษย์มันไม่ยอมรับมนุษย์หรอก มันไม่เชื่อ ไม่เชื่อขึ้นมานี่ ละล้าละลังๆ จนกว่าครูบาอาจารย์ท่านจะหมดอายุขัย เวลาจะไปหาท่าน ไปอยู่กับท่าน พอไปอยู่กับท่าน มันก็ช่วงปลาย ถ้าช่วงที่ท่านกำลังแข็งแรงนะ โอ้โฮ! มันจะได้ประโยชน์มากเลย ได้ประโยชน์มาก เพราะ เพราะหลวงตาท่านพูดเอง คนที่จะไปอยู่กับหลวงปู่มั่น เพราะมันต้องเป็นคน ที่เข้มแข็ง คนที่จริงจังถึงจะไปอยู่กับหลวงปู่มั่นได้ เพราะหลวงปู่มั่น เห็นไหม ท่านคัดท่านเลือกของท่าน ทีนี้เวลาจะไป คัดเลือกของท่าน เวลาไปอยู่กับท่านมีแต่คนที่แบบว่าคนเข้มแข็งทั้งนั้น คนเด็ดขาด แล้วเวลาไปอยู่กับท่าน ท่านเอาจริงเอาจังขึ้นมา เวลาอบรมสั่งสอนขึ้นมา นี่พูดถึงว่าสหชาติ เวลาเกิดร่วมๆ ไง

ทีนี้เราจะศึกษา ศึกษาประวัติของครูบาอาจารย์ของเรา ฉะนั้น ถ้ามันไม่ทัน พอมันไม่ทันขึ้นมา เห็นไหม เราก็ถือเป็นประเพณีวัฒนธรรม ถ้าเป็นประเพณีวัฒนธรรมเราก็รักษาของเรามา ถ้าเราเป็นชาวพุทธเราก็มีศีล ศีล สมาธิ ปัญญา ใช่ไหม ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาถ้ามันทำความเป็นจริงขึ้นมา มันก็มีแล้วนี่มัชฌิมาปฏิปทาทางสายกลางๆ ความพอดีของคน ความพอดีของใคร ถ้าความดีของใครมันก็เพื่อประโยชน์อันนั้น ถ้าประโยชน์อันนั้น เวลาถือศีล พระเราก็เหมือนกัน เวลาบวชมาใหม่ๆ ขึ้นมา ศีลของเรา เราก็เข้มงวดทั้งนั้น เวลาปฏิบัติไปๆ ยิ่งมันเข้มงวด ศีล อธิศีล แล้วมันเป็นศีลภายในเลยนะ ถ้ามัน เป็นศีลอย่างนั้นมันก็สมบูรณ์ขึ้นมา 

แต่! แต่ระหว่างเดินทางๆ ระหว่างเดิน เห็นไหม เขา บอกว่าดิฉันอยากทราบว่า หากเราป่วย และจำเป็นต้องรักษา ต้องกินเหล้า เช่น วอดก้า ในจำนวน ช้อนโต๊ะ ผสมกับ สมุนไพรตัวอื่น แบบนี้จะผิดศีลหรือไม่” 

นี่คำว่าผิดศีลๆผิดศีลมันทำให้ เห็นไหม ศีล . ทำให้เสียทรัพย์ . ทำให้สุขภาพของเราไม่ดี . ทำให้เราเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยนะ ทำให้จริตนิสัยเสียหายไป นี่พูดถึงถ้าผิดศีล ความเสียหายมันเป็นแบบนั้น ถ้าเราถือศีลขึ้นมาก็ด้วยความปกติของใจ ถ้าใจเราไม่ปกติ เห็นไหม เราเจ็บไข้ได้ป่วย บอกว่า เราเป็นคนป่วย เราต้องรักษา เราต้องกินยา มีกินเหล้าวอดก้าผสมสมุนไพร ถ้าผสมสมุนไพรนี่เราจะตีความแล้ว เราจะตีความว่า นี่เป็นเหล้า นี่เป็นสุราหรือเป็นโอสถ 

ข้อนี้พูดอย่างนี้ปั๊บมันก็จะเข้าทาง เห็นไหม เข้าทาง บอกว่า เวลาเขาถือศีล เขาบอกเขารับศีล ไม่ได้ สุรานี่ เขารับไม่ได้ นี่ไง ถ้าบอกว่านี่เป็นโอสถ เวลาคนที่เขาบอกว่า เห็นไหม ผู้ที่ศึกษามาก รู้บาลีมากจะเลี่ยงบาลี ผู้ที่ศึกษากฎหมายมากรู้กฎหมายนี่มันจะมีช่องโหว่ของกฎหมายให้ออกไป ไอ้นี่ มันเป็นสิ่งที่แสวงหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง แต่ถ้าเป็นในทางประพฤติปฏิบัติ บุญและบาป บุญคือคุณงามความดี บาปคือความไม่ดี สิ่งที่เราหาแต่บาปอกุศลใส่ตัวของเรา ถ้าเราผิดศีลๆ เห็นไหม ผิดศีลเพื่อสุขภาพไม่ดี สิ่งไหนไม่ดี เห็นไหม มันเป็นบาปอกุศลทั้งนั้น

ฉะนั้น บอกว่า ถ้าเราศึกษามาแล้ว เวลาเราจะเดินทาง เดินทางคือเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ถ้าเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าเรากินเหล้าผสมสมุนไพร ถ้าเป็นโอสถๆ นะ พระเวลาที่ประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าใครเข้มแข็งนะ เขาบอกอย่างนี้เขาไม่กิน ถ้ามี ส่วนผสมนี่เราไม่กิน แต่ถ้าผู้ที่ปานกลาง ถ้าเห็นว่าสิ่งนี้เป็น โอสถ เขาถือว่าเป็นโอสถ เราจะบอกว่ามันอยู่ที่ความเข้มข้นของใจที่คนนั้นมีเจตนาดีมากน้อยแค่ไหน ถ้าใจเขาเข้มข้นขึ้นมา เห็นไหม เขาไม่กิน เขาว่าสิ่งนั้นมีส่วนผสมของสุรา 

แต่ถ้าคนที่ว่าเห็นประโยชน์กับมัน ว่ากินแล้วมันจะเป็น ประโยชน์ เห็นไหม เขากิน เขาถือว่าเป็นโอสถ ถ้าเป็นโอสถ อย่างนี้ กรณีอย่างนี้ดูที่เป็นข่าวประจำ เห็นไหม เวลาเขาไปจับ พระกินเหล้า กินยาดองๆ น่ะ ยาดองนี่เป็นยาไหม ยาดองนี้ เป็นยาโดยทางคฤหัสถ์เลยนะ แต่ทางพระนี่เป็นยาไหม ก็ถือว่าเป็นยา แต่ถ้าคนที่เขาเข้มแข็งนะ เขาถือว่ามันมีส่วนผสมของสุรา เพราะมันยาดองๆ เขาดองด้วยสุราเขาไม่กิน หรือเขาไม่สนใจเลย แต่บางคนเขาสนใจ เขาก็สนใจของเขา 

เขาบอกสิ่งที่ว่าถ้ามันเป็นโอสถ มันเป็นสมุนไพร เพื่อจะรักษาเรา” 

ถ้าเราเป็นคนจนตรอก เราไม่มีทางออก สิ่งนี้ควรกินไหม ควร เพื่อรักษา รักษาให้มันหาย ถ้ารักษาให้มันหายแล้ว การกินยามันต้องมีระยะเวลาของมัน ไม่ใช่ว่าเรากินยาสมุนไพรแล้วจะกินทั้งชีวิตนะ กินทั้งชีวิตเพราะว่ากินยาต่อเนื่องมาก เกินไป เห็นไหม พอมันคุ้นชินแล้วยานั้นมันก็จะไม่เป็นยาแล้ว ไม่เป็นประโยชน์กับร่างกายแล้ว การกินยามันมีระยะเวลาของเขา ถ้ามีระยะเวลาของเขาว่าถ้ากินแล้วเป็นประโยชน์ขึ้นมา เรากินประมาณนั้น แล้วเราก็หยุดของเรา เราพัฒนาของเราขึ้นไป นี่พูดถึงเราจะบอกว่าเราจะมองว่าเป็นโอสถ หรือว่าเราจะมองว่า มันเป็นสุรา ฉะนั้น ถ้ามองว่าเป็นสุราหรือเป็นโอสถ นี้พูดถึง เวลาเป็นธรรมๆ นะ 

แต่! แต่เวลาถ้าเป็นวินัยคือกฎหมาย ถ้ากฎหมาย เห็นไหม กาลิก สิ่งที่กาลิกระคน เห็นไหม เช้าพระบิณฑบาตมา สิ่งนี้ถือว่าเป็นอาหาร เป็นชั่วยามได้แค่เที่ยง แล้วถ้ามันเป็นน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำผึ้ง น้ำอ้อยนี่สัตตาหกาลิกได้ วัน แล้วถ้าเป็น เภสัชเป็นพวกยาสมุนไพรโดยที่ไม่ผสมสุราต่างๆ นี่ยาวชีวิกคือตลอดชีวิต สิ่งที่ตลอดชีวิตแล้วถ้ามันระคนกัน ถ้าเราสงสัยเนี่ย เวลาพระเขาเริ่มสงสัย เขาจะเอาเรื่องวินัย เรื่องกาลิก เรื่องกฎหมายมาตัดสิน

ถ้ามันตัดสินแล้วมันระคนกันนี่ อย่างเช่น น้ำผึ้ง น้ำอ้อยได้ผสมกับสมุนไพร ถ้าเป็นยานะถ้าผสมเองเขาให้ถืออายุมันแค่ ได้ วัน อายุได้แค่ วัน เพราะน้ำผึ้ง น้ำอ้อยอายุของมัน วัน แต่ยาสมุนไพรนี่อายุมันตลอดชีวิต มันไม่มีเวลา มัน ตลอดชีวิตเลยเพราะมันเป็นสมุนไพร แต่ถ้ามันผสม ผสมกับ น้ำผึ้ง น้ำอ้อย ผสมโดยที่เราทำเอง แต่ถ้ามันเป็นยาที่เราซื้อมา ยาสมุนไพรผสมน้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลนี่ ยาธาตุนี่มีส่วนผสมน้ำตาล ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุต่างๆ นี่ ยาอย่างนี้อายุมันเท่าไร เราตีว่าตลอดชีวิต ถ้าเป็นพวกยาธาตุ ยาธาตุน้ำขาว ยาธาตุ น้ำแดง ที่มีส่วนผสมของน้ำตาลนี่ 

นี้พูดถึงว่าเวลาผู้ที่ปฏิบัติ ธรรมะขององค์สมเด็จพระ-สัมมาสัมพุทธเจ้าถึงให้สงฆ์ปกครองสงฆ์ คือสงฆ์ปกครองสงฆ์ สงฆ์ในสังคมนั้น สงฆ์ที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติเขาก็มีมุมมองอันหนึ่งนะ สงฆ์ในวัดบ้าน สงฆ์ที่เขาศึกษามานี่ เขาว่าสิ่งนี้มันเป็นยาทั้งนั้น เพราะเป็นยา เพราะอะไร นี่สงฆ์ปกครองสงฆ์ สงฆ์ในกลุ่มชนใด สงฆ์ในมุมมองที่เขาทัศนคติของสงฆ์นั้นเข้มงวดแค่ไหน 

นี่พูดถึงจะบอกว่า พระปฏิบัติ พระปฏิบัติมันจะมีมุมมอง มุมมองที่เข้มข้นเข้มงวดขึ้นมา เข้มข้นเข้มงวดขึ้นมาเพราะอะไร เขามองถึงหัวใจ มองถึงหัวใจนะ เพราะเราประพฤติปฏิบัติที่ใจ เวลาเราเกิดเพราะอะไร เวลาธรรมะขององค์สมเด็จ-พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเรื่องอริยสัจ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เรื่องการศึกษา ในเรื่องปริยัติเขาศึกษามา ศึกษามา ทรงธรรมทรงวินัยเพื่อศึกษาไว้เพื่อเป็นทางวิชาการ แต่เวลาคนที่มาประพฤติปฏิบัติจะเอาความจริงขึ้นมา เห็นไหม 

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะแล้วจิตมันอยู่ไหน เราเกิดมาเป็นคน เราเกิดเป็นมนุษย์ จริงตามสมมุติ จริงตาม สมมุตินี่ แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน 

ถ้าความจริงอยู่ที่ไหน เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันจะเริ่มเข้าแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วปฏิบัติไป ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลมันปกติหรือไม่ มันจะเข้ามาตรงนี้มันถึงจะเข้มงวดไง เพราะ เพราะเรามีเป้าหมาย เรามีเป้าหมาย มีที่มุ่งมั่นที่ลึกซึ้งกว่า มีเป้าหมายที่กว้างขวางกว่า ถ้ามีเป้าหมาย อย่างนั้นปั๊บ มันทำขึ้นไปแล้วมันจะเข้าสู่ใจของตน ถ้าใจของตนมันจะเป็นความเป็นจริงอันนั้นไง ความจริงอันนั้น มันจงใจตั้งใจ ฉะนั้น สิ่งนี้มันเรื่องปลีกย่อย แล้ววาง ไม่ สนใจเรื่องนี้เลย 

เพราะพระปฏิบัติด้วยกันนะ เวลาเข้าป่าไปนี่จะไม่มี สิ่งใดติดตัวไปเลย มีแต่ตัวเปล่าๆ เลย ถ้าพระองค์ใดมียา เห็นไหม มียาพวกแก้มาลาเรีย ยาต่างๆ ติดย่ามไปนี่เขาบอก นี่ใจเสาะ พระที่ปฏิบัติเขาวัดกันตรงนั้นเลยนะ วัดกันเอาชีวิตเข้าแลกเลย เจ็บไข้ได้ป่วยก็ธรรมโอสถ เอาธรรมะนี่ซักฟอก ถ้าหายก็หาย ไม่หายก็ตาย เวลาที่เราออกประพฤติปฏิบัติกัน เราทำกันแบบนั้น 

ฉะนั้น พอเดี๋ยวนี้มันโตขึ้น วิทยาศาสตร์โลกเจริญไง ทุกอย่างมันมีสิ่งที่ช่วยบรรเทาอยู่แล้ว ติดกันไป ดูแลกันไป ทีนี้พอมันไปมันก็จะมาตรงนี้ มาตรงที่ว่ามันผิดหรือไม่ผิด ถ้ามันผิดหรือไม่ผิดนี่ มันอยู่ที่เจตนา อยู่ที่เจตนาของคนที่เข้มแข็ง คนที่เข้มงวดมากขนาดไหน 

แต่ถ้าเป็นทางโลก เราว่าอย่างนี้กินได้ ทางโลกเพราะ เขาไม่ใช่นักบวช เขาเป็นขนาดนั้น แต่คำว่ากินได้เราพูดนี่ มันเป็นการแสดงเจตนาต่อกัน เป็นการแสดงความเห็น แต่เขาว่ากินได้ กินได้ขึ้นมานะ แต่ถ้าสังคมของเขา ถ้าผู้ถามอยู่กับเพื่อนฝูงที่บวชด้วยกัน เขาเคยผ่านวัดที่ปฏิบัติมาแล้วเขาจะบอกไม่ได้ เราจะบอกว่าได้ หรือไม่ได้ มันเป็นมุมมองของเขา 

แต่ถ้าของเรานี่เราจะวัดกัน เราวัดกันโดยกาลิก เราวัดกันโดยส่วนผสม เราวัดกันด้วยวิทยาศาสตร์ ได้หรือไม่ได้ ได้หรือไม่ได้นี่มันเป็นวินัย แล้วถ้าเป็นวินัยเรามองอย่างนี้ปั๊บ ได้หรือไม่ได้ ถ้าเรามองเป็นโอสถ ได้ แต่ถ้ามองว่าเป็นสุรา อย่างนี้ มันมีส่วนของวอดก้ามันมีสุรา ไม่ได้ 

ทีนี้ถ้ากรณีนี้กรณีหนึ่งนะ แต่ในปัจจุบันนี้เรายกตัวอย่าง ยกตัวอย่างว่าในปัจจุบันนี้เวลาโยมเขามาถวายจังหัน คือเขามี อาหารมาถวายที่วัดแล้วมีแกงเขียวหวาน แกงเขียวหวานเขาใส่ บรั่นดี แล้วเวลาถวายพระ อันนี้เป็นอาหารหรือเป็นสุรา เป็นอาหาร เพราะพวกนี้พอมันลงส่วนผสมมันแกงไง พอแกงมันลง ส่วนผสมไปแล้วมันระเหยไปหมดแล้ว แอลกอฮอล์ระเหยไป หมดแล้ว ส่วนนั้นส่วนผสม

. พระไม่รู้ไม่เห็น ความว่าไม่รู้ไม่เห็น เราจะตามสืบบอกว่า เวลาเช้าประเคนจะบอกว่าอันนี้ผสมอะไรบ้าง วันนั้นไม่ได้กินข้าว วินัยเขาเรียกกาลเทศะ กาลเทศะหมายความว่าเวลาเหตุการณ์ที่มันจวนตัว เหตุการณ์มันเฉพาะหน้านี่ท่านให้พิจารณาในปัจจุบันนั้น ถ้าเราจะตามไป ไปบอกว่านี่ส่วนผสมอะไรเป็นอะไร ไม่ใช่ ไม่ใช่เวลา เวลานี้เป็นเวลาที่เขาจะแสวง แสวงบุญ เวลานี้เป็นเวลาที่พระจะทำภัตกิจคือพระบิณฑบาตมาจะฉันอาหาร สิ่งใดที่มันถวายมาแล้วถือว่าเป็นอาหาร เห็นไหม 

ฉะนั้น พระไม่ได้รู้ไม่ได้เห็น เราจะบอกว่า ถ้าจะอ้างว่าไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมานี่มันเป็นการที่ว่าตะแบงไง พระตะแบง พระอยากได้ พระไม่เอาก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นขึ้นมา ให้ลูกน้องไปหา ผลประโยชน์มาอย่างนี้ไม่ใช่ เพราะเจตนามันไม่บริสุทธิ์ แต่สิ่งที่อาหารที่เขามาจากบ้านนี่ เราไม่รู้จักเขาเลย อาทิตย์หนึ่งเขามาหนหนึ่ง นานๆ เขามาหนหนึ่ง แล้ววันนั้นเขามีอาหารมา เราจะ ไปสอบถามมันเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ขึ้นมา ถวายอาหารมันก็เป็นอาหารไง ไอ้นี่พูดถึงว่า สิ่งที่ถ้าเป็นอาหาร ฉะนั้น สิ่งที่เป็นอาหาร เวลามันเป็นอาหาร มันก็เป็นเวลานั้น 

แต่เวลาจะภาวนานั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งนะ เวลาจะภาวนาขึ้นมาเราจะเอาความจริงกับเรา ถ้าเอาความจริงกับเรา ทีนี้เวลาพูดไปแล้วมันเลยเป็นอันว่าวินิจฉัยไม่ได้ว่าที่ถามหลวงพ่อ นี่กินได้หรือกินไม่ได้สิ่งที่ว่าเหล้าวอดก้า ผสมกับสมุนไพร มันผิดศีลหรือไม่ถ้ามันผสมเป็นสมุนไพร เวลาพระเรา พระที่เขาเห็นแก่ตัว เขาก็เอาเหล้าขาวผสมน้ำตาลทราย แล้วก็บอก เขากินยา นี่คนเห็นแก่ตัว คนทำเพื่อสนองตัณหาของตนเองเป็นแบบนั้น 

แต่ของเรานี่เราเป็นคนป่วย ถ้าเราเป็นคนป่วย เห็นไหม ถ้าเป็นสมุนไพรเราถือว่าเป็นยา เรากินยาเลย กินได้ แล้วถ้ามีระยะเวลาที่เราจะหยุดเมื่อไร เราก็หยุด แล้วถ้าเราจะหยุดได้นะ ถ้าหยุดไม่ได้ต้องตลอดไปนี่ไม่ได้ ถ้าตลอดไปเพราะอะไร เพราะการกินตลอดชีวิตมันก็แปลกๆ นะ 

นี่แบบนี้ผิดศีลหรือไม่ อีกอย่างหนึ่งดิฉันจะถืออุโบสถศีลทุกวันพระค่ะ หากต้องกินเหล้าแบบนี้จะรักษาโรคแบบนี้จะผิดไหมคะ” 

มันเป็นข้ออันเดียวกันไง อันเดียวกันว่าในปกติเราถือศีล ชาวพุทธต้องมีศีลอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก แต่! แต่ศีล โดยสามัญสำนึก ศีล องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลานักบวชเราศีล ๒๒๗ ถ้าฆราวาสมีศีล ถ้ามีศีล ขึ้นมา วันอุโบสถศีลหรือว่าคนที่จะไปจำศีลที่วัดเขาถือศีล ศีล หมายถึงว่าไม่กินข้าวเย็น อยู่ช่วงเที่ยง ไม่กินข้าวเย็น ไม่นอนใน ที่สูง ไม่ดูการละเล่นฟ้อนรำถ้าอุโบสถศีล ถ้าอุโบสถศีล ศีล ถ้าถือศีล ไอ้เรื่องยาดองมันอยู่ในศีล แล้วถ้าศีล มันก็เพิ่มศีลมากขึ้นอีกนิดหนึ่ง แล้วถ้าพูดถึงถ้าเป็นสามเณรศีล ๑๐ เป็นพระศีล ๒๒๗ ศีล ๒๒๗ มันก็มีตัวนี้ทั้งนั้น ศีลเป็นศีล อันเดียวกัน เพียงแต่ว่ามากหรือน้อยแล้วแต่จำนวนศีลที่มากขึ้น 

ถ้าเราเป็นคฤหัสถ์ใช่ไหม ถ้าพูดถึงปกติเรากินได้ วัน พระเรากินได้ ถ้าเราถือว่ามันเป็นโอสถ ถ้ามันไม่เป็นโอสถมันผิดมาตั้งแต่ศีล ก็ผิด อุโบสถศีลก็ผิด มันผิดของมัน ถ้ามันผิด อย่างนี้มันผิดตรงไหน ผิดที่เจตนาของเราไง ถ้าเจตนาของเรา เราคิดว่าไม่ได้แล้วเราฝืนทำ พอไม่ได้ ฝืนทำปั๊บ แล้วเรามานั่งสมาธิไอ้ตัวนี้มันจะมาหลอกตลอดเวลา ศีล สมาธิ ปัญญา คนที่ มาอยู่วัดเราก็อยากทำความสงบของใจ เราอยากเจอพุทธะในใจของเรา เราอยากรักษาใจของเรา ถ้าสุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี 

คนเราเกิดมามีกายกับใจๆ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมา พบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงเรื่องอริยสัจ สอนถึงเรื่องความจริง แล้วความจริง เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย มันเปลี่ยนไป ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย อาสวักขยญาณทำลายอวิชชาไปแล้วมันไม่เกิดอีก ไม่เกิดอีกมันก็คือมันไม่ตาย ถ้ามันไม่เกิดอีกมันจะไม่มีการเกิดจะไม่มีการตายอีกแล้ว ถ้าไม่มีการเกิดไม่มีการตายอีกแล้วมันมาจากไหน มันมาจากอริยสัจ มันมาจากทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคคืออะไร มรรคคือดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ ความเพียรชอบ 

ถ้าเราจะชอบธรรม เราก็จะมาประพฤติปฏิบัติแล้ว มาวัดมาวามาเพื่อทำสมาธิ พอทำสมาธิขึ้นมานี่เรานั่งสมาธิ เห็นไหม โดยเจตนา พอคิดถึงเจตนาปั๊บ เวลานั่งสมาธิหายใจ เข้าพุท หายใจออกโธ กิเลสมันก็รุกเร้าแล้ว กิเลสมันรุกเร้าถ้า มันมีช่องไง มันมีช่องที่ว่าเราผิดศีล เราทำอะไรผิด นี่มันจะมา รุมเร้าเลยล่ะ เพราะโดยความคิดของเรา เห็นไหม เวลาเรามานั่งภาวนานะ มันจะบอกเลยว่าเรายังไม่ได้ทำไอ้นั่น เรายังไม่ได้ทำ ไอ้นี่ สิ่งนั้นเรายังไม่ได้เก็บให้เรียบร้อย มันคอยจะมาหลอกตลอดเวลา 

กิเลสมันร้ายนัก กิเลสมันเอาความคิดเรานี่หลอกเราเอง นี่สิ่งที่เราเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมานี่ ความคิดเกิดจากจิตไม่ใช่จิต แต่ความคิดเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากจริตนิสัย คนชอบสิ่งใด คนเคยจมอยู่กับสิ่งใด มันก็คิดอยู่แต่สิ่งนั้น นี่ย้ำคิด ย้ำทำๆ แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ปล่อยวาง ปล่อยวางแม้แต่ความคิดของตนเอง เวลาปล่อยวางความคิดของตนเอง การจะปล่อยวางความคิดของตนเอง เห็นไหม มันจะต้องสะอาดบริสุทธิ์ ถึงต้องมีศีลก่อนไง 

เวลาคนที่ใจเด็ดนะ คนที่ใจเด็ด เห็นไหม เขาทำความ ผิดพลาดสิ่งใดมาเขาพยายามข่มไว้ ข่มไว้ จิตเขาลงในสมาธิได้ไหม ได้ ถ้าคนเขาเข้มแข็งพอ พอลงได้แล้วมันเป็นอะไร มันก็เป็นมิจฉา มิจฉาเพราะมันผิดศีล ผิดศีลก็ผิดกติกา พอผิดกติกา พอมันเป็นสมาธิขึ้นมามันจะทำอะไรก็ได้ พอทำอะไรก็ได้มันก็ ส่งออกไง ไปเห็นนู่นเห็นนี่จะเป็นผู้วิเศษไง จะมีอำนาจเหนือคนไง นั่นน่ะมิจฉาสมาธิ

เวลาเป็นสมาธิ ถ้าสัมมาสมาธิมันมาจากไหน มันมาจากศีลก่อน ศีลคือความชอบธรรม ดำริชอบ งานชอบ ดำริชอบ งานชอบ เพียรชอบ เวลามันชอบธรรมขึ้นมา ถ้าเป็นสมาธิก็เป็นสัมมาสมาธิ สมาธิที่ชอบธรรม สมาธิที่ขาวสะอาด สมาธิที่ว่า ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น แล้วรักษามันให้ดี รักษาให้ดี เห็นไหม รักษา ให้ดี การเข้าเข้าอย่างไร วันนี้เรากำหนดอย่างไร เราตั้งสติ อย่างใด แล้วเราหายใจเข้า หายใจออกนี่ละเอียดอย่างไร เราจำอารมณ์นั้นไว้ แล้วเราพยายามฝึกฝนอย่างนั้นอีก พอฝึกฝน อย่างนั้นอีกกิเลสมันรู้ทัน เห็นไหม มันก็พยายามดักหน้าดักหลัง ไง เราก็พยายามฝึกหัดของเรา อย่างนี้เขาเรียกว่าชำนาญ ชำนาญในการรักษาใจของตน 

ถ้าการชำนาญรักษาใจของตนนี่ประเสริฐมากเลย อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ใจ เห็นไหม ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ใจของเราแล้วสติปัญญาของเรารักษาใจของเราได้ เราไม่ต้องไปพึ่งพาอาศัยใครเลย ไปวัดไปวา เห็นไหม อาศัยสถานที่ อาศัยครูบาอาจารย์ อาศัยหมู่คณะ เห็นไหม ช่วยกันปลอบประโลม ช่วยกันดูแล แต่ถ้าเรารักษาของเราได้ เห็นไหม ชำนาญในวสี ถ้าชำนาญในวสีมันเกิดมาจากไหน มันเกิดมาจากสติ เกิดมาจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะของเรา ถ้ามันเป็น อย่างนี้ได้ เห็นไหม มันจะเข้ามาสู่ใจของเราแล้ว

จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วเราศึกษาธรรมะขององค์-สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราพยายามจะประพฤติปฏิบัติให้เป็นคุณธรรมของเรา ถ้าเป็นคุณธรรมของเรานะสุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี สุขอื่นใดเท่ามีสติปัญญาควบคุมจิตของตน มีความสุข สิ่งข้างนอกนั้นปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นส่วนเกินทั้งนั้นเลย แต่ถ้าไม่มีสติปัญญานี่ปัจจัยเครื่องอาศัยเป็นเจ้านาย วิ่งไปหาเขาทั้งนั้น มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัยไม่ใช่ของจริง ของจริงคือใจของเราต่างหาก แต่ใจของเราอ่อนแอ ใจของเราไม่มีใครคุ้มครองดูแล มันถึงต้องไปอาศัยเขา ปัจจัยเครื่องอาศัยมันอาศัยดำรงชีวิต แต่จิตนี้กลับไปอาศัยอยู่กับเขา 

แล้วถ้ามีสติมีปัญญานี่มันถอนกลับมาสู่เป็นอิสระเป็นตัวของตัวเอง สุขอื่นใดเท่าจิตสงบไม่มี มันก็เกิดจากตรงนี้ เกิดจากจิตใจที่เข้มแข็ง แล้วอย่างที่ว่าสิ่งที่มันเป็นความผิดความต่างๆ มันจะมาทำร้ายหัวใจเราไม่ได้ จะทำให้เราผิดพลาดไม่ได้ จะมา ทำให้เราผิดพลาด ฉะนั้น เริ่มต้นมันก็กลับมาตรงนี้ งูกินหาง มันก็ย้อนกลับมา แล้วเราทำได้ไหมล่ะ 

เพราะว่าถ้าอย่างนี้เพราะเขาถืออุโบสถศีลทุกวันพระ หากต้องกินเหล้านี่ถ้าภาษาเรานะ ถ้าไม่สบายใจเราก็หยุดซะ ถ้าเราเข้าใจว่าได้เราก็รักษา เราก็กินของเราไป เพราะมันอยู่ที่ เราจะคัด คัดเลือก เราจะมีสติปัญญาของเราไง เช่น เรากิน วันปกติ เราก็กินของเราได้ พอวันพระเราก็หยุด ถ้าหยุดดูโรค มันจะกำเริบหรือไม่ ถ้าโรคไม่กำเริบเราก็หยุดได้ ต่อไปเราก็ หยุดให้มากขึ้นๆ จนไม่ต้องกินยาเลย นี่พูดถึงว่าผู้ที่มีโรคประจำตัวนะ 

กรณีนี้มันก็เข้ากับกรรมจำแนกสัตว์ให้เกิดต่างๆ กัน คนเราเกิดมาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ คนเราเกิดมามีโรคภัยไข้เจ็บ ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ บางคนมีโรคประจำตัว เขา มีโรคประจำตัวของเขานั่นเพราะอะไร เพราะเขาเกิดมาพร้อมกับ โรคภัยไข้เจ็บไง แต่ของเรามีลาภมากกว่า เกิดมาแล้วเป็นปกติ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บเลย มันเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะเราทำของเรามาดี แล้วทำของเรามาดีแล้วนะ เราก็ทำดีเราต่อเนื่องไป 

แต่นี่พูดถึงถ้าเรามีโรคของเรา เราเจ็บไข้ได้ป่วย เราต้องรักษาก็รักษาซะ เวลาถ้าไม่เจ็บไข้ได้ป่วยเลยก็ไม่ได้รักษา สิ่งใดเลย เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมา เราจะกินยาของเรา เราก็กลับมามีปัญหา ถ้ามีปัญหานะ คนเรามันอยู่ที่นิสัย อย่างเช่น วอดก้าอะไรนี่ ในทางรัสเซียเขากินกันมาก เพราะเขาในเมืองหนาว กินกันมากจนประชากรของเขามีเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บมหาศาล แล้วเขากินของเขาอย่างนั้น เพราะอะไร เพราะมันเป็นเรื่องวัฒนธรรมของเขา เรื่องประเพณีของเขา 

ถ้าเราจะบอกว่าถ้าจิตใจอ่อนแอจะกินสิ่งใดก็แล้วแต่ มันก็จะมีผลกับสุขภาพของตนทั้งนั้น ถ้าเรามีสติมีปัญญาของประเภทนี้เราอยู่ให้ห่าง แม้แต่คนที่อยู่ในรัสเซียเขาไม่กินก็มี คนที่กินก็มี กินและไม่กินมันอยู่ที่ไหน มันอยู่ที่ทัศนคติ มันอยู่ที่พฤติกรรม ถ้าเรามีพฤติกรรมที่ดี สิ่งใดที่มันไม่เอาเข้ามาทำลายสุขภาพเรานั้นดีที่สุด แต่ถ้าจำเป็น จำเป็นต้องกิน เพราะมันเป็นสมุนไพรเป็นโอสถที่จะรักษาเรา เราก็กินเท่าที่จำเป็น แล้วถ้ามัน หายก็หยุดซะ ถ้ามันจำเป็นต้องกิน ก็กินเพื่อรักษาให้มันหาย เพราะ เพราะของที่กินเข้าไป กินเข้าไปในกระเพาะ อยู่ที่ ร่างกาย แต่! แต่หัวใจของเราสุขกับทุกข์นั่นสำคัญกว่า สุข กับทุกข์ถ้ามันมีความสุขไม่ต้องกินอะไรมันก็มีความสุข ถ้ามันทุกข์กินจนมหาศาลมันก็ทุกข์ 

เรื่องกินเรื่องอยู่นั่นเรื่องหนึ่งนะ เรื่องธรรมะ ธรรมโอสถ เรื่องธรรมะในใจนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ แต่มันซ้อนกันอยู่ไง เพราะใจมันก็ต้องการความสุขความสงบเรื่องหนึ่ง ร่างกายก็ต้องการสุขภาพที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง แล้วหัวใจเรามันแกว่งอยู่อย่างนี้ แล้วจะเอานอกหรือเอาใน ถ้าจะเอานอกหรือเอาในเราก็ใช้ดุลยพินิจ คำว่าดุลยพินิจคือสติปัญญาของเราใคร่ครวญ แล้วก็ พยายามจะผ่อนคลายให้มันน้อยลงๆ จากเรื่องของร่างกายแล้ว ให้หัวใจมันเข้มแข็ง ถ้าหัวใจมันดีงามขึ้นมามันก็จะประเสริฐขึ้นมา แล้วหัดฝึกหัดภาวนาขึ้นไป 

ใจดวงใดก็แล้วแต่เวลาฝึกหัดขึ้นมามันมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาขึ้นมา มันจะเกิดปัญญาขึ้นมา มันจะรู้แจ้งในใจของ ตนขึ้นมา ถ้ารู้แจ้งในใจของตนขึ้นมา เห็นไหม มันเป็น ปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก เป็นเฉพาะใจดวงนั้น แล้วถ้าเป็นเฉพาะใจดวงนั้น ใจดวงนั้นเป็นแล้ว เห็นไหม ถ้าใจดวงนั้น เป็นแล้วเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรมันจะเห็น เห็นผล เพราะธรรม-สากัจฉาไง มันต้องมีองค์ความรู้มีความจริง ไม่มีองค์ความรู้ไม่มีความจริง เราจะบอกคนอื่นได้อย่างไร 

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเราด้วยอะไร องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนพวกเราด้วยหลักเกณฑ์ พุทธศาสตร์นะชัดเจนกว่าวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ที่เขาทำของเขาแล้วมันก็เป็นทฤษฎีอยู่ทางโลกนั่นน่ะ ไอ้นี่มันเป็นความจริงรู้จริงขึ้นมาจากในใจเลย แล้วความจริงที่รู้จริงจากในใจมันเป็นอันเดียวกัน 

พระอรหันต์ ,๒๕๐ องค์ในวันมาฆบูชาเป็นพระ-อรหันต์เหมือนกัน รู้เหมือนกัน จะมามีความรู้แปลกแหวกแนวแปลกประหลาดกว่าคนอื่นเป็นไปไม่ได้ ไอ้ที่มีความรู้แปลกประหลาดมหัศจรรย์น่ะ อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว มันจะแตกต่างจากกันเป็นไปไม่ได้ ไม่ได้หรอก ถ้ามันแตกต่างจากกันนะ มันต้องมีคนหนึ่งผิด คนที่เถียงกันต้องมีคนหนึ่งผิด แต่ถ้ามีความเห็นเหมือนกันมันจะผิดไปได้อย่างไร 

นี่พูดถึงถ้าพูดถึงเรื่องกายกับใจ ทีนี้พอกายกับใจมันคลุกเคล้ากัน เขาเรียกกรรมมันคลุกเคล้ากัน เราเลยแยกอะไรไม่ออกเลย นี่เริ่มต้นปฏิบัติหลวงตาท่านสอนว่าอย่างนี้ เวลาปฏิบัติมันยาก ยากตอนเริ่มต้นนี่ แล้วยากอีกหนก็ตอนที่จะ สิ้นสุด ยากตอนเริ่มต้น เพราะการเริ่มต้นเราทำอะไรไม่เป็น มันขลุกขลักไปหมดเลย แต่พอฝึกหัดไป ฝึกหัดไป เขาเรียกภาวนาเป็น ภาวนาเป็นทำสมาธิได้ชำนาญ เขาเรียกกัลยาณชน แล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนาเห็นสติปัฏฐาน ตามความเป็นจริง นั่นล่ะ เขาเรียกเริ่มภาวนาเป็น พอภาวนาเป็นแล้วมันจะก้าวเดินไปได้แล้ว 

แต่เริ่มต้นยังภาวนาไม่เป็นนี่ล้มลุกคลุกคลาน แล้วยืน ไม่ได้ เดินไปเองไม่ได้ แต่ถ้ามันภาวนาเป็นแล้วนะ เดินไปเอง ได้ เราจะไปหาครูบาอาจารย์เป็นครั้งเป็นคราว ไปหาครูบา- อาจารย์ต่อเมื่อมันติดขัด แล้วบางทีกิเลสมันรุนแรง เราสู้ไม่ได้ หรือเราใคร่ครวญขบปัญหานี้ไม่แตก เราจะไปหาครูบาอาจารย์ เรา ให้ครูบาอาจารย์เราช่วย ไปปรึกษาไปถามท่าน ท่านจะแก้ให้ การว่าแก้ให้นี่ครูบาอาจารย์ท่านสอนกันแบบนี้ ถ้ามันก้าวเดินไปได้แล้ว ภาวนาเป็นไปได้แล้วนั่นมันจะก้าวเดินไปได้ แล้วเราจะไปหาครูบาอาจารย์เป็นครั้งเป็นคราวเพื่อจะให้ท่านแก้ไขเราๆ ให้แก้ไขเราให้ผ่านพ้นไปได้ 

แต่ถ้ายังภาวนา ภาวนายังไม่เป็น เริ่มต้น เห็นไหม มีครูบาอาจารย์อยู่มันก็สับสน ไม่มีครูบาอาจารย์อยู่ยิ่งสับสนใหญ่เลย มันสับสนไปตลอดล่ะ สับสนไปจนกว่าเราจะยืนได้ ฝึกหัดได้ ฝึกหัดเป็น แล้วภาวนาเป็น ตอนนั้นน่ะเราจะเอาตัวรอดได้ 

นี่พูดถึงว่ากินเหล้าเพื่อรักษาโรคผิดศีลหรือไม่คะ” 

เราถึงบอกว่ามันเป็นปัญหาโลกแตกไง มันเป็นปัญหา มาตั้งแต่ต้น แล้วทีนี้พอเป็นปัญหาตั้งแต่ต้น เรามองสังคมไปไง ดูสิ เวลาพระที่เขากินเหล้ากัน เขาบอกกินยาดอง เขากินยาดอง คำว่ายาดองยาดองมันก็เป็นยา แต่กินแล้วมันก็เมา มันก็ เสียหาย นั่นหรือกินยา ถ้าคนเราเขาก็ไม่กินหรอก เขารักษาไปทางอื่นก็ได้ แต่ไอ้นี่มันเป็นการพูดเอาตัวรอด พูดเพื่อจะดีแต่มันไม่ดี 

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเราเห็นว่าสิ่งนี้ถ้ามันเป็นโอสถ ได้ แต่ถ้าเราเห็นว่ามันเป็นสุราเราไม่ทำ เราจะบอกว่าการรักษาโรคนี่ยามีหลายชนิด ในปัจจุบันนี้มันมีแผนปัจจุบันกับมีแผนไทย แล้วจะมีแผนจีนอีกด้วย กินยานี่ยามันหลากหลายนัก แล้วถ้าเราจะเอาคุณธรรมของเรา เราพลิกแพลงของเรา ชนิดนี้รักษา ไม่ได้ไปรักษาทางอื่น รักษาไม่ได้ ทิ้ง 

ธรรมโอสถ ธรรมโอสถเลย หายใจเข้านึกพุท หายใจ ออกโธ เป็นก็เป็น ตายก็ตาย สุดท้ายแล้วโรคภัยไข้เจ็บ หายหมด มันกลัวตาย โรคมันกลัวตาย 

แต่ถ้าเราอ่อนแอ ทุกอย่างมีความจำเป็นไปทั้งหมด เว้นไว้แต่ภาวนาไม่ต้องอย่างเดียว ทุกอย่างมีความจำเป็นหมดเลย อะไรก็จำเป็นทั้งนั้น มันจะพาส่งออกไง เวลาจะมานั่งสมาธิภาวนานี่ไม่จำเป็น แต่ถ้าคนจำเป็นนะ นั่งสมาธิภาวนาจำเป็นที่สุด อย่างอื่นนั้นเป็นเครื่องอาศัย ไอ้พวกนั้นมันจะเข้ามา ยุ่งกับเราไม่ได้เลย แต่ถ้าจิตใจเราอ่อนแอ ไอ้สิ่งที่ว่าเป็นเครื่องอาศัยเป็นความจำเป็นทั้งหมดเลย สิ่งที่จะเป็นหลักเป็นเกณฑ์ ขึ้นมากลับเป็นความไม่จำเป็น อยู่ที่กิเลสมันปิดบัง อยู่ที่กิเลสมันครอบคลุมครอบงำหัวใจ 

ถ้าหัวใจเราดี หัวใจเราสะอาดแล้ว หัวใจมีหลักเกณฑ์แล้วนี่วินิจฉัยได้ มีความจำเป็นเราก็กิน ถ้ามันกินแล้วพอมันดีขึ้นเราก็หยุด เราก็เลิก แล้วเราพัฒนาของเราขึ้นไป เราจะไม่จมอยู่กับเรื่องอย่างนี้ เราจะไม่จมอยู่กับโลก เราจะเป็นผู้ที่ฉลาดเอาตัวเรารอด ไม่จมปลักอยู่กับกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เอวัง