เทศน์พระ

คมคิด

๒๙ ธ.ค. ๒๕๖๓

คมคิด

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

เทศน์พระ วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๖๓

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่ ) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันลงอุโบสถสังฆกรรม อุโบสถสังฆกรรม สวดปาฏิโมกข์ๆ สวดปาฏิโมกข์เพื่อตรวจสอบความสะอาดของสงฆ์

เวลาตรวจสอบความสะอาดของสงฆ์ ผู้ที่มีอาบัติหนัก เวลามีอาบัติหนักปั๊บ เราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์นะ เขาจะปลีกตัวไป ไปอยู่ปริวาส ไปอยู่กรรมอีกต่างหาก เพราะว่าเขาไม่อยากลงอุโบสถสังฆกรรมกับครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นธรรมๆ ไง

เวลามันเป็นอาบัติหนักๆ เวลามันปิดกั้นในการประพฤติปฏิบัติไง เวลาปิดกั้นในการประพฤติปฏิบัติ ทำไมต้องปิดกั้นด้วยล่ะ

อ้าว! ก็ปฏิบัติน่ะ ปฏิบัติมันก็ได้สมจริงสมจังสิ เอาจริงเอาจัง

นี่กรรมของสัตว์ๆ ไง เวลากรรมของสัตว์ เวลาเราอยู่ ถ้าบุคคล เราอยู่คนเดียวเป็นบุคคลอุโบสถ ถ้าอยู่ ๓ องค์ขึ้นไปเป็นคณอุโบสถ ถ้าครบสงฆ์ๆ ไง นี่ครบสงฆ์ๆ ไง คำว่า ครบสงฆ์ สังฆะไง

เวลาเทวดาไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ควรทำบุญที่ไหนๆ

เธอควรทำบุญที่เธอพอใจ

แต่ถ้าจะเอาบุญกุศลกันล่ะ

เอาบุญกุศลกันแล้วมันก็ต้องเปรียบเหมือนเนื้อนา พอเปรียบเหมือนเนื้อนา ทำนาที่ดีที่สุดคือทำกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ทรงคุณธรรม เป็นเนื้อนาบุญของโลกๆ รองลงมาก็พระปัจเจกพระพุทธเจ้า แล้วรองลงมาก็สาวก พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี ลงมาเรื่อย จนถ้าไม่มีแล้ว ถ้าไม่มีแล้วจะทำกับใครๆ ให้ทำสังฆทาน สังฆทานก็สงฆ์ไง

หมู่สงฆ์ๆ สิ่งนี้มีคุณค่าๆ เพราะอะไร เพราะความสามัคคีไง เพราะความสามัคคีธรรมอันนั้นน่ะมันมีคุณค่า ลงอุโบสถ เขาถึงถ้าเป็นอาบัติแล้วเขาพยายามหลีกหนี เราปลงอาบัติกันๆ นี่ไง ถ้าปลงอาบัติกัน สิ่งที่ว่าอาบัติหนักแล้วเขาไม่ร่วมสังฆกรรม

สังฆกรรม ถ้าสงฆ์นั้นสะอาดบริสุทธิ์ สงฆ์นั้นยิ่งแวววาว แล้วถ้ามันมีเวรมีกรรมขึ้นมา นั่นล่ะที่บอกว่าเวลามันปิดกั้นมรรคผลๆ ปิดกั้นตรงไหน ปิดกั้นอะไร อะไรมาปิดกั้น

ก็เวรกรรมไง เวรกรรมอันนั้นมันปิดกั้น เวลาปิดกั้นขึ้นมา เพราะในพระไตรปิฎกมีมากมายมหาศาล เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเทศน์ทีเป็นพระอรหันต์เลย บางองค์ ๑๖ ปี ๒๐ ปี ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นั่น ทุกข์ยากขนาดไหนมันก็ทำไม่ได้ๆ นี่กรรมของสัตว์

มีมากมายมหาศาลนะ ในสมัยพุทธกาล ในพระไตรปิฎก ผู้สร้างเวรกรรมที่ดีมา เขาทำของเขาด้วยโอกาสของเขา เวรกรรมที่ดีมาหรือเวรกรรมจากไหนมาก็แล้วแต่ แต่ในปัจจุบันๆ นั้นน่ะ ปัจจุบันเวลาจะออกประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ปัจจุบันธรรมๆ อะไรปัจจุบัน ปัจจุบันตรงไหน ก็ปัจจุบันก็ในชีวิตนี้ไง ปัจจุบันที่เขาคิดกันได้ไง

แต่เวลาที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัตินะ มรรคสามัคคี ในปัจจุบัน ความสมดุลและพอดี ทาง ๒ ส่วนที่ไม่ควรเสพ สุดโต่ง ๒ ทาง สุดโต่งดีและชั่ว แล้วถ้ามันสุดโต่งดีๆๆ ไง ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา สมดุลพอดีน่ะ นั่นล่ะปัจจุบัน เวลาปัจจุบันเวลาสมุจเฉทปหานนั่นน่ะ นั่นน่ะปัจจุบันอยู่ตรงนั้น ถ้าปัจจุบันแท้มันเกิดมรรคเกิดผลขึ้นมาไง มันเกิดอริยสงฆ์ขึ้นมาในพระพุทธศาสนา มันเกิดคุณงามความดีขึ้นมาในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาๆ พุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานไง

นี่พูดถึงว่าเวลามันปิดกั้น นี่ฟังธรรมๆ เพื่อบุญเพื่อกุศลไง อานิสงส์ของมัน สิ่งที่ได้ยินได้ฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงที่สุดแล้วความลังเลสงสัย ความลังเลสงสัย ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านหาครูบาอาจารย์ที่คุ้มครองท่าน แล้วเวลาปฏิบัติไปเวลามันจะได้เข้าด้ายเข้าเข็ม เวลาคุ้มครอง จะได้ จะไม่ได้ เฉียดไปเฉียดมา เฉียดมาเฉียดไป

โอ้!

คนที่ปฏิบัติขึ้นมานะ เวลาเราทำความสงบของใจเข้ามาแต่ละครั้งมันแสนทุกข์แสนยาก แล้วเวลาใช้สติปัญญาไปแล้ว เวลามันก้ำกึ่ง มันถูลู่ถูกัง มันจะไปก็ไม่ใช่ จะถอยก็ไม่ใช่ ข้างหน้าก็ไม่ไป ข้างหลังก็ไปไม่ได้ ออกข้างก็ไม่ได้ จะไปไหนๆ นี่ไง เวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ใครไปอยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วมันถึงจะเห็นใจไง มันจะเห็นคุณค่าไง แต่ถ้ามันยังไม่ประพฤติปฏิบัติ ไม่มีสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมา ถูลู่ถูกังกันอยู่อย่างนั้นน่ะ ถูลู่ถูกัง

นี่ฟังธรรมๆ ไง ฟังธรรมๆ สัจธรรมอันนั้นมันเป็นสัจจะวันยังค่ำ อริยสัจมีหนึ่งเดียวเท่านั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม พระศรีอริยเมตไตรย องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคตกาลก็จะตรัสรู้แบบนี้ อริยสัจมีหนึ่งเดียว หนึ่งเดียว

ความหนึ่งเดียวนั้นมันต้องเป็นอันเดียวกันไง ถ้าอันเดียวกันขึ้นมา ธรรมะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน แต่ที่มันขัดมันแย้งกันเพราะกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ที่มันขัดมันแย้งกันเพราะจริตนิสัยของคนแตกต่างกัน เวลามันขัดมันแย้งกัน นั่นมันก็กรรมของสัตว์ไง ถ้ากรรมของสัตว์

จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา แล้วบวชเป็นพระๆ บวชเป็นพระ ธรรมและวินัยเป็นเครื่องขัดเกลา เป็นเครื่องขัดเกลา ไม่ใช่ความจริง ความจริงคือศีล สมาธิ ปัญญาในใจของเราต่างหาก ความจริงที่มันเป็นจริงขึ้นมาต่างหากไง

เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา กิเลสมันแผดมันเผา ทุกข์ร้อนไหม กิเลสมันแผดมันเผาหัวใจนี้ทุกข์ร้อนไหม ไม่ต้องบอก ล้านเปอร์เซ็นต์ โดยธรรมชาติของมัน เพราะอะไร

โลกนี้เป็นอนิจจัง วัฏฏะมันแปรสภาพของมัน สิ่งที่ไม่คงที่ สิ่งที่เปลี่ยนสภาพตลอดเวลา มันสุขมันสบายที่ไหน มันมีอะไรคงที่บ้าง มันมีอะไรมาบ้าง ดูสิ เราย้อนไปประวัติศาสตร์ ล้านๆๆ ปี เขาพิสูจน์ทางฟอสซิล เขาได้หมดล่ะ มันเปลี่ยนแปลงมาตลอดเวลา แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงมาถึงปัจจุบันนี้ แล้วมันจะเปลี่ยนแปลงไป

ตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เราเกิดมาดูสภาพบ้านเมืองอย่างหนึ่ง เวลาวัยกลางคนอย่างหนึ่ง เวลาชราคร่ำคร่าไปแล้ว โอ๊ะ! เมื่อก่อนน่ะ เมื่อก่อนเป็นอย่างนั้นๆ เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปหมดแล้ว

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มีชีวิตมันแปรสภาพตลอดเวลา แล้วมันจะมีอะไรที่ว่าเป็นความสุขล่ะ มันมีอะไรคงที่ล่ะ มีอะไรเป็นสมบัติของตน ไม่มี มีบุญและบาปเท่านั้น บุญติดหัวใจนี้ไป

สิ่งที่ว่าๆ วัตถุธาตุ วัตถุธาตุอะไรที่คงทนถาวรที่สุด ขนาดคงทนถาวรที่สุดยังอยู่ไม่ได้เลย แต่เวลาหัวใจที่เป็นนามธรรมมันดันคงทนกว่าเขา จิตไม่เคยตาย จิตไม่เคยตาย ความรู้สึกทำลายไม่ได้ แล้วความรู้สึกมีกิเลสด้วยไง กิเลสมันปกคลุมหัวใจ ความรู้สึกอันนี้ทำลายไม่ได้ ทำลายไม่ได้หรอก

เวลาหลวงตาท่านสิ้นกิเลสแล้ว เวลาออกมาช่วยโครงการช่วยชาติฯ มันมีผลกระทบกระเทือน ถ้าใครจะฆ่า มันก็แค่ใบมีดผ่านกระดูกเท่านั้นน่ะ แค่ผ่านลำคอ ถ้าตัดคอก็ใบมีดก็แค่ผ่านลำคอไปเท่านั้นน่ะ ทำลายความรู้สึกอันนั้นไม่ได้ เข้าไม่ได้ เข้าไม่ถึง เข้าไม่ได้หรอก

แต่วัตถุได้ วัตถุก็เราเห็นอยู่นี่ไง สอุปาทิเสสนิพพาน เศษส่วนที่มันเหลืออยู่นี่ไง เศษเหลือทิ้ง เศษที่มีอยู่นี่ ธาตุ ๔ สสารนี่เศษเหลือทิ้ง แต่จิตที่มันไม่เคยตายๆ ไง ถึงทำลายความรู้สึกไม่ได้

แต่ด้วยสัจจะด้วยความจริงในพระพุทธศาสนานะ จิตนี้เวียนว่ายตายในวัฏฏะ จิตนี้เกิดมาเป็นมนุษย์ พอเกิดมาเป็นมนุษย์ ในใจเป็นนาย ก. นาย ข. นาย ง. แล้วมาบวชเป็นพระ ก็เป็นพระ ข. พระ ก. ไง สิ่งที่ประพฤติปฏิบัติสมมุติทั้งนั้นน่ะ สมมุติบัญญัติๆ

ถ้าเอาความจริงขึ้นมา เวลากิเลสมันแผดมันเผามันทุกข์มันร้อนทั้งสิ้น แล้วมีสติปัญญา ถ้าทางโลกถ้าเป็นสุจริต ธรรมาภิบาล ได้มาโดยถูกต้องชอบธรรมก็ดีอย่าง ถ้าได้มาด้วยการทุจริตคดโกงนั่นก็เป็นเรื่องอีกอย่างหนึ่ง เห็นไหม มันแผดเผาทั้งนั้นน่ะ ถ้ามันแผดมันเผา ปัญญาอะไร ปัญญาโลกๆ ไง ฉลาดแต่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ถ้าฉลาดแล้วมีศีลมีธรรม

ฉลาดมีศีลมีธรรมนี้สำคัญนะ นี่มีศีลมีธรรมไง ผู้ที่ฉลาดเขาไม่พูด เขาฟัง แล้วเขาแก้ไขเหตุการณ์นั้นด้วยสติด้วยปัญญาของเขา

ในโลกของมนุษย์ไง ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ไง มนุษย์ทุกคนมีศักดิ์ศรีทั้งนั้น จะช่วยเหลือเจือจานกัน ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่านสอนปิดทองหลังพระไง ช่วยเหลือเขาโดยที่เขาไม่เสียศักดิ์ศรีของเขา เขาไม่เสียความเป็นมนุษย์ของเขา นี่ไง นี่พูดถึงผู้ที่มีปัญญาไง นี่ปัญญาทางโลกๆ นะ

เวลาปัญญาโลกๆ ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิถูกต้องดีงามขึ้นมา เราเห็นโทษไง เราเห็นโทษขึ้นมา มองเข้าไปกระจก ๖ ด้าน มันมองแล้วย้อนกลับมาเรานี่ไง ชีวิตก็เป็นแบบนี้ มนุษย์มีค่าเท่ากับมนุษย์ไง เกิดเหมือนกัน เกิดมามีอาการ ๓๒ เหมือนกัน เวลาเกิดขึ้นมา มนุษย์ไม่ได้ดีด้วยชาติการเกิด มนุษย์ดีด้วยการกระทำ แต่มนุษย์ก็เกิดดีเกิดชั่วก็เหมือนกัน

เวลาเกิดดี เกิดในตระกูลที่มั่งมีศรีสุข เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทอง ถ้าเขามีสติปัญญาเขาก็ดำรงชีพในโลกของเขาอย่างหนึ่ง แต่เขามีสติปัญญามากขึ้น เขาเสียสละสิ่งที่ว่ามันเป็นสิ่งที่โลกยอมรับนับถือไง บ่วงที่เป็นโลกไง ทิ้งบ่วงที่เป็นโลกขึ้นมา เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา บ่วงที่เป็นทิพย์ไง แหม! เป็นสมาธิ แหม! มีปัญญา นั่นก็เป็นปัญญาอย่างหนึ่งไง

แต่ถ้าทำความสงบของใจได้มากขึ้น ทุกคนที่มีอำนาจวาสนา คนที่มีอำนาจวาสนานะ จิตสงบขนาดไหนเขาก็พิสูจน์ทั้งนั้นน่ะ ธรรมดา ชำนาญในวสี สิ่งที่สงบๆ ขึ้นมา สงบขึ้นมาเพราะอะไร สงบเพราะคำบริกรรม สงบเพราะมีสติสัมปชัญญะควบคุมดูแลมัน

ถ้ามีผู้ควบคุมดูแล มีผู้บริหารจัดการที่ดีงาม สิ่งนั้นก็จะดีงามขึ้นมา ถ้าผู้บริหารผู้จัดการที่โง่เขลาเบาปัญญา “ว่างๆ” โง่เขลาเบาปัญญามันก็ไม่ได้ความจริง มันเข้าใจมันเองว่ามันเป็นสมาธิแต่มันไม่เป็น เวลามันเป็นสมาธิขึ้นมา นั่นก็ปัญญาของเขา

แต่คนที่มีอำนาจวาสนาขึ้นมา เวลาจิตมันสงบแล้วฝึกหัดใช้ปัญญาๆ เวลามันฝึกหัดใช้ปัญญามันมหัศจรรย์ไง สิ่งที่มหัศจรรย์ มหัศจรรย์ที่ไหน มหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา ภาวนามยปัญญาๆ ไง เวลาความคิดมันเกิดขึ้น มันคมคิด คิดด้วยความแหลมคม คมคิดเกิดจากสติเกิดจากสมาธิ

เกิดคมคิดนะ ความคิดที่มันเป็นคม มันคม มันคมมาก เวลามันตัด มันพิจารณาไป โอ๋ย! มันสวยมันงามไปหมดนะ มันไม่มีแผล ไม่มีสิ่งใด มันขาดไปโดยสติโดยปัญญา โดยความมหัศจรรย์น่ะ

คมคิด มันมีคมขึ้นมาเพราะมันมีสมาธิไง เพราะมันมีสติมีปัญญาไง

เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ทำสมาธิ นิวรณธรรมทั้ง ๕ วิตกกังวล ลุกๆ นั่งๆ มันลังเลสงสัย มันวุ่นมันวาย มันลงไม่ได้ มันลงไม่ได้

ทำไมลงไม่ได้ล่ะ

ลงไม่ได้ขึ้นมา เวลาพระกรรมฐานก็เริ่มตรวจสอบแล้ว เราผิดอะไร เราทำอะไรมาบ้าง มีความวิตกกังวลอะไร ทำให้มันสะอาดให้หมด มีอะไรที่มันผิดศีล ผิดศีลก็ปลงอาบัติ มีทำสิ่งใดที่มันผิดพลาดขึ้นมาก็ขออภัยต่อกัน สิ่งที่ผิดพลาดไปแล้ว มหาปวารณา ติเตียนกันได้ บอกเตือนกันได้ ทำได้ ทำขึ้นมาเพื่ออะไร เพื่อความสะอาดบริสุทธิ์ของใจไง

แล้วเวลากลับไปนั่งสมาธิขึ้นมา ทุกอย่างก็ได้แก้ไขแล้ว ทุกอย่างก็ได้ทำแล้ว สิ่งใดที่กิเลสมันหยิบมาใช้ ใช้เป็นประโยชน์ของมันไง นู่นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ แหม! พระปฏิบัตินะ แหมนั่งสมาธิเชียว เมื่อกี้ทำอะไรมา ความลับไม่มีในโลกไง ทำอะไรมันรู้ทั้งสิ้นน่ะ แล้วมันจะลงได้อย่างไร นี่ไง สิ่งที่ไม่ลงไง

แต่ถ้าเป็นปัญญา ปัญญาที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิความถูกต้องดีงาม ถ้ามันมีสติปัญญาขึ้นมา มันแก้ไขของเราเข้ามา แล้วธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุไง เราสร้างเหตุที่ดีงามของเราเพื่อทำความสงบของใจของเราเข้ามาไง ถ้าใจสงบเข้ามา มันก็อยู่ที่วาสนาของคน

พอใจสงบเข้ามา บางคน “ใช้ปัญญาไปแล้ว”

นั่นปัญญาอบรมสมาธิ นั่นปัญญาในใคร่ครวญในความถูกต้องชอบธรรมในการทำสมาธิ มันไม่ใช่ปัญญาฆ่ากิเลส เพราะยังไม่เจอกิเลสเลย ยังไม่รู้จักกิเลสใดๆ ทั้งสิ้นเลย แล้วปัญญาอย่างนี้ นี่มันเป็นปัญญาโลกๆ ไง เป็นปัญญาจากปฏิภาณไหวพริบในการสร้างสมบุญญาธิการบุญและบาปไง

เวลาบุญและบาปเข้ากันโดยธาตุ ถ้าธาตุบุญๆ เห็นถูกเป็นถูก เห็นผิดเป็นผิด เห็นผิดชอบชั่วดีตามทำนองคลองธรรม เห็นชัดๆ แต่ถ้ามันเป็นธาตุกิเลสไง เวลากิเลสมันพาคิดไง เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นดี เห็นสิ่งวิบากกรรมว่าเป็นบุญกุศล มันสร้างแต่เวรแต่กรรมไง นี่ไง เวลากิเลสมันคิด เวลากิเลสมันลากมันพามันไปนะ แล้วถ้าเป็นธาตุธรรมมันไปไม่ได้ ธาตุธรรมเห็นผิดชอบชั่วดีตามทำนองคลองธรรม นี่ผู้ที่มีอำนาจวาสนาบารมี

เพราะคนเกิดมามีอวิชชาทั้งสิ้น ครอบครัวของมารไง มีตั้งแต่อวิชชาจนลูกจนหลานจนเหลนมันปกครองหัวใจดวงนั้นไง มันมีอวิชชา มีกิเลส มีความไม่รู้ ไม่รู้เท่าทันความคิดของตนอยู่แล้ว

โดยธรรมชาติ โดยสัจจะโดยข้อเท็จจริง กิเลสเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง อยู่ที่หัวใจนั้น แล้วครอบงำหัวใจนั้น ลากหัวใจนั้นตามแต่อำนาจของมันไป แต่ด้วยวาสนาของเราไง เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา กึ่งกลางพระพุทธศาสนา ๒,๕๐๐ ปี แล้วเรามาบวชเป็นพระๆ เรามีครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ เรามอง คนมองไม่ได้นะ

เวลาหลวงตาท่านว่า หลวงปู่มั่นถ้าพูดถึงในทางโลกเป็นเศษผ้าขี้ริ้ว ไม่มีใครสนใจ อยู่ในป่าในเขาน่ะ แต่ในทางธรรม เศรษฐีธรรม

ในทางธรรม แล้วคนมอง ถ้าคนมอง คนที่เป็นธรรมๆ เสาะแสวงหา ขึ้นไปหาหลวงปู่มั่นที่เชียงใหม่ เสาะแสวงหาไปหาหลวงปู่มั่น เข้าไปที่วัดบ้านผือ มีแต่กระต๊อบ มีแต่ร้าน ไว้รับแค่ ๕ องค์ ๑๐ องค์ นอกนั้นอยู่รอบนอก

อยู่รอบนอกไปปฏิบัติมา เวลาติดขัดขึ้นมาผู้เฒ่าจะแก้ เข้ามาได้เลย ให้ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดก็อยู่แค่นี้

นี่เห็นถูกต้องชอบธรรมตามทำนองคลองธรรม มันเห็นถูกเห็นผิดและเห็นคุณงามความดี เสาะแสวงหา นี่เวลาเสาะแสวงหาไง

ถ้ามันไม่เสาะแสวงหา “อื้อ! พระก็คือพระ หลวงตาก็คือหลวงตา เราก็บวชพระ พระเหมือนกัน สมองมีเหมือนกัน คิดได้ทั้งนั้น”

ไปแล้ว ลงทะเลไปแล้ว กิเลสมันลากจูงไปไง นี่ไง ปัญญาคิดไง กิเลสไง ปัญญาของกิเลสมันคิดมันครอบงำไง แล้วมันก็ลากไปไง

แต่ถ้ามีวาสนานะ มันเสาะมันแสวงหา ทั้งทุกข์ทั้งยาก ทั้งไปทำนองคลองธรรม สัทธิวิหาริก ต้องขอนิสัย เวลาจะไปขอนิสัยท่าน ท่านก็ดูกิริยาเรา ดูอำนาจวาสนา ฟังหรือไม่ฟัง ใช่หรือไม่ใช่ สอนไม่ได้ก็ไม่ต้องรับไว้ เสียที่ให้คนอื่นเขาได้พักอาศัย ถ้ามันเป็นศีลเป็นธรรมมันพอฟัง ขอนิสัย เวลาจะเข้าไปหาท่าน ท่านต้องวัด ต้องดูถึงการยอมรับของเราๆ เพราะยอมรับในธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดาของเรา

แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามันเป็นศีลเป็นธรรมขึ้นมาในหัวใจของมัน ถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันเป็นอันเดียวกันไง พอมันเป็นอันเดียวกันนะ ลงนะ หัวใจมันลงนะ มันเคารพบูชานะ

หลวงตาท่านพูดไง ถ้ามันเป็นไปได้จริงนะ ถ้าเราตายแทนได้ เราขอตายแทนให้หลวงปู่มั่นให้ท่านดำรงชีพอยู่ เพราะท่านจะได้สร้างประโยชน์อีกมากมายมหาศาลเลย แต่นี้มันเป็นไปไม่ได้ นี่ความคิดของคนที่มันเป็นธรรมไง ที่เป็นความคิดที่ในหัวใจไง ไม่ได้พูดออกมา

เวลาหลวงปู่มั่นท่านนิพพานไปแล้ว ท่านไปนั่งที่ปลายเท้า เวลานิพพาน ทุกคนก็ล้อมรอบ เวลาเขาคร่ำครวญเสร็จแล้วต่างคนต่างไป ร่างกายของท่านก็ทอดอยู่ที่นั่น ท่านไปนั่งอยู่องค์เดียวไง กับซากศพของหลวงปู่มั่นไง นั่งคร่ำครวญร้องไห้อยู่นั่นไง

จิตใจที่มันลงครูบาอาจารย์ ท่านก็นิพพานไปเสียแล้ว ต่อไปนี้จะพึ่งใคร ใครจะคุ้มครองดูแล ใครจะคอยบอกคอยเคาะ คอยชี้คอยนำ

ติดสมาธิ ๕ ปีกว่าจะลากออกมา โต้แย้งโต้เถียงกันมาขนาดไหน โต้แย้งโต้เถียงก็โต้แย้งโต้เถียงด้วยความเคารพ เพราะตัวเองก็มี ก็รู้ก็เห็นมาเหมือนกัน ก็เกิดทิฏฐิมาขึ้นมา นี่พูดถึงว่า ถ้ามันติด มันติดอย่างนั้นไง

แต่ถ้ามันเป็นสติปัญญา เวลามันคิดของมันได้นะ นี่มันเข้ากันโดยธาตุๆ ธาตุที่เป็นธรรมๆ มันคิดแต่เรื่องที่ความเป็นธรรม แล้วมันสยดสยองในหัวใจเพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสไง แล้วถ้าเราทำสติทำปัญญาของเราขึ้นมา เวลาคมคิดของเรามันคิด มันแยกมันแยะ มันตัด มันชำระล้างไม่ให้กิเลสมันฟูขึ้นมาไง

เวลาคิดอะไรมันคิดได้ แต่คิดได้เดี๋ยวเดียว เดี๋ยวมันก็ฟูขึ้นมาคิดใหม่ มันคิดแล้วคิดซ้ำคิดซาก คิดแทรกคิดซ้อน คิดน้อยเนื้อต่ำใจ คิดแต่แผดเผาตัวเองไง นี่ปัญญากิเลสไง มันไม่มีคมคิด มันไม่มีสติ มันไม่มีสมาธิ มันเลยเป็นปัญญาของกิเลส เป็นกิเลสมันลากถูลู่ถูกังไป มันไม่ใช่ภาวนามยปัญญา ไม่ใช่ปัญญาในพระพุทธศาสนา มันเป็นปัญญาของกิเลสทั้งนั้นเลย ไม่เป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาในความเพียรชอบ ในสัมมาทิฏฐิความเห็นชอบดีชอบ มันไม่ชอบธรรม ถ้ามันชอบธรรมมันไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้น

แล้วมันเป็นอย่างไรล่ะ

มันเป็นที่ท่ามกลางหัวใจดวงนี้ไง ถ้าท่ามกลางหัวใจนี้ ท่ามกลางหัวใจดวงนี้ หัวใจดวงนี้อยู่ในร่างกายนี้ ร่างกายนี้เช้าขึ้นมาออกบิณฑบาตเลี้ยงชีพด้วยปลีแข้งด้วยเท้า ๒ ข้าง ฝ่าเท้า ๒ ข้างมันเดินไปบิณฑบาตมา ปากได้ฉันอาหารจากเท้า ๒ เท้านี้ไง มือเวลาไปบิณฑบาตมาแล้ว จัดอาหารลงบาตร จัดอาหาร ปฏิสังขาโยฯ แล้วจะหยิบอาหารใส่ปากไง

ปากนี้มันได้กินมาจาก ๒ เท้านี้ ๒ มือนี้ แล้วปากได้อาหารเข้าลิ้มรสในชิวหานี้ ด้วยทัศนคติ ด้วยมันสมองของในร่างกายนี้ นี่เวลาถ้ามันเป็นสัจจะมันเป็นความจริง มันเห็นคุณค่าไง มันไม่งอมืองอเท้าไง มันไม่มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจไง

นี่มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจ มีแต่กิเลสคิด มีแต่ทำลายตัวเอง มีแต่เอามาทับถมไง ให้มีแต่ความน้อยเนื้อต่ำใจไง แล้วไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แล้วอันไหนเป็นธรรม แล้วธรรมมันอยู่ไหน

เวลาเป็นธรรมๆ ขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญา ศีลคือความปกติของใจ แล้วทำความสงบของใจเข้ามาได้ กำหนดพุทโธ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิของเราให้ได้ เวลามันสงบระงับเข้ามา ถ้ามันเกิดสัมมาสมาธิขึ้นมา สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี แล้วมีอำนาจวาสนาไม่ติดในสมาธินั้นด้วย

สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ๆ แต่ไม่มีสมาธินะ เป็นปัญญากิเลสทั้งนั้น ปัญญายอกย้อน ปัญญาถูลู่ถูกัง ปัญญาชักนำไป แต่เทียบเคียงพระไตรปิฎกนะ กิเลสบังเงา กิเลสทั้งนั้น ปัญญานะ ปัญญาของผู้ที่หลงใหล ปัญญาของคนที่ต่ำต้อย ปัญญาของคนที่มืดบอด เพราะปัญญาอย่างนี้มันปัญญาสร้างเวรสร้างกรรมทั้งสิ้น มันสร้างเวรสร้างกรรมเพราะอะไร

เพราะตัวเองห่างออกจากความสงบของใจ ออกจากหลักพระพุทธศาสนา ออกจากมรรคออกจากผลไง ไปอยู่ในทิฏฐิมานะของตนไง แล้วก็เอาอ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่ามันเป็นธรรมๆ ไง เอามาเป็นดาบฟาดฟันคนอื่นไง ทั้งๆ ที่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแสกลับเข้ามาที่ใจ ปัญญาในพระพุทธศาสนาไม่มีปัญญาการส่งออก

ปัญญาต้องกลับมาที่หัวใจเท่านั้น ถ้าหัวใจที่มันเห็นจริงเห็นจังในธรรมอันนั้น เห็นไหม คมคิด ตัดขาด

เวลาพุธโธๆ คมคิดมันไม่ต่อเนื่องไง นี่เวลาพุทโธมันแฉลบ นั่นแหละมันจะแฉลบออกทั้งสิ้น นั่นแหละปัญญาโลก

ปัญญาโลกนะ เวลาออกไปแล้วมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันแฉลบ มันออกไปถูลู่ถูกัง มันไปเอาสิ่งที่ตนเองพอใจเท่านั้นว่าเป็นธรรม สิ่งใดที่มันชำระล้างกิเลสหรือเข้าไปชำระล้างมัน มันทั้งต่อต้าน มันทั้งปิดกั้น มันทั้งทำลายทั้งสิ้นไง นี่กิเลสมันทำลายธรรมๆ ไง

เวลาหลวงตาท่านสอนไง ไม่มีสิ่งใดหรอกที่ทำลายพระพุทธศาสนา ไม่มีสิ่งใดหรอกที่ทำลายความเพียรของเรา กิเลสทั้งนั้นๆ กิเลสเท่านั้นเลย กิเลสทำให้เราเข้าใจผิด กิเลสทำให้เรารู้เท่าไม่ถึงการณ์ กิเลสมันสร้างปัญญาเทียมขึ้นมา กิเลสมันพลิกมันแพลงขึ้นมาว่านั่นเป็นสมบัติของเรา นี่กิเลส มันยังไม่เข้าสู่ศีล สมาธิ ปัญญาเลยนะน่ะ มันอยู่ข้างนอกหมดน่ะ มันส่งออกไปทั้งหมด เพราะธรรมดาของมนุษย์มันส่งออกไง

โดยธรรมดาของความคิด ความคิดเกิดจากจิตไง จิตนี้ส่งออกไปไง แล้วสมาธิอยู่ที่ไหน สมาธิอยู่ที่จิตไง มันต้องย้อนกลับมาที่จิตนั้นไง ถ้ามันย้อนกลับไปที่จิตนั้น ย้อนกลับเข้าไปอย่างไรไง

ย้อนกลับไปด้วยคำบริกรรมไง ด้วยปัญญาอบรมสมาธิไง ทวนกระแสกลับไปที่จิตดวงนั้นไง ถ้าทวนกระแสไปที่จิตดวงนั้น ไปถึงต้นเหตุที่จิตดวงนั้น ดับที่จิตดวงนั้น จิตดวงนั้นสงบลง ไม่คิดออกมาไง ไม่คิด

สัมมาสมาธิ สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มีๆ ถ้ามีอำนาจวาสนาฝึกหัดใช้ปัญญามันจะเกิดคมคิดที่คมกล้าที่มหัศจรรย์

หลวงตาท่านสอนประจำนะ ขันธ์ ๕ เป็นที่ลับปัญญา จิตก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นกิเลสตัณหาความทะยานอยากเป็นที่ลับ ลับคมความคิด ความคิดที่มีคมๆ คมเพราะสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันเป็นกำลัง มันมีกำลังของมัน มันเป็นพลังงานของมันที่สามารถจะแยกจะแยะได้ว่าความคิดที่คิดๆ กันอยู่นี่แหละ ที่กำลังคิดอยู่นี่ ที่กำลังใช้ปัญญาอยู่นี่ เพราะอะไร

เพราะปัญญาอบรมสมาธิไง ปัญญาอบรมสมาธิมันต้องหยุดไง หยุดเมื่อไหร่นั่นน่ะสมาธิของปัญญาอบรมสมาธิ ถ้ามันหยุด หยุดเพราะความคิดไง หยุดเพราะมีสติปัญญาเท่าทันตัวเองไง ถ้ามันชักเริ่มเป็นคมคิดเป็นปัญญาที่มีผลประโยชน์กับตนเองไง

ไอ้ปัญญาที่เราใช้กันอยู่นี่มันเป็นประโยชน์กับสถานะของความเป็นมนุษย์ ประโยชน์กับโลกไง ประโยชน์กับการเกิดมาภพชาติหนึ่งไง เพราะความมนุษย์คิดได้อย่างนี้ไง

เวลากำเนิด ๔ ไง ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหมขึ้นมา คิดอย่างไรไง นี่ความคิด คิดอย่างไร คิดแบบเรานี้ใช่ไหม คิดนรกอเวจีเขาคิดแบบเราใช่ไหม เวลาในวัฏฏะ ๔ ไง กำเนิด ๔ ในวัฏฏะไง ที่มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง นี่เวลาจิตที่มันเป็น

แต่ในปัจจุบันนี้เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราได้บวชเป็นพระสมมุติสงฆ์ๆ นี่เป็นสมมุติทั้งสิ้น นี่ก็สมมุติสงฆ์ ภพชาติหนึ่งของสมณะ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติขึ้นไป เวลาใจ การเห็นสมณะที่เป็นบุญเป็นกุศลไง ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ การเห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต ได้เห็น ได้ทัศนา นั่นน่ะเป็นมงคลชีวิตของเขา ถ้าเป็นมงคลชีวิตของเขานะ มันเกิดจากอำนาจวาสนาของคนที่มันฝักใฝ่และสนใจ

คนเยอะแยะไปเขาไม่สนใจ เขาสนใจแต่ผลประโยชน์ของเขา แล้วผลประโยชน์ของเขาก็เป็นผลประโยชน์สาธารณะที่อยู่กับโลกนี้ ผลประโยชน์ของเขาจริงๆ คือบุญและบาปในใจของเขา ผลประโยชน์ของเขาคือการกระทำของเขา เห็นไหม

ในทางโลกๆ พระอรหันต์ในบ้าน พ่อแม่สำคัญที่สุด พระอรหันต์ในบ้านๆ ไง แล้วถ้าเป็นพระอรหันต์ ถ้าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ด้วย ทั้งเป็นพระอรหันต์ในบ้านด้วย ทั้งเป็นพระอรหันต์ในจิตด้วย ถ้าจิตเป็นพระอรหันต์ จิตที่ไม่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ

ถ้าเป็นพระอรหันต์ในบ้านก็ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะเหมือนกัน เพราะเป็นพระอรหันต์ในบ้าน พระอรหันต์ของลูก มันเป็นสถานะระหว่างสายบุญสายกรรม

แต่ถ้าเป็นพระอรหันต์ตามความเป็นจริงอย่างที่เราแสวงหากันอยู่นี่ไง เราแสวงหาเพราะเราเชื่อมั่นว่าข้อเท็จจริงมันเป็นจริง ถ้าข้อเท็จจริงเป็นจริง มันต้องการคนที่เป็นผู้ที่มีความจริงเป็นผู้พิสูจน์ ผู้ที่ความจริงไง ความจริงเท่านั้นถ้าอยู่กับความจริงไง

จิตที่ไม่เคยตายๆ เวลามันเข้าไปสัมผัสสัมมาสมาธิ มันเป็นสัจจะมันเป็นความจริงไง แล้วถ้าอำนาจวาสนา สมาธิแก้กิเลสไม่ได้ แต่อาศัยสมาธิเป็นสมถกรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน ยกขึ้นสู่วิปัสสนา เวลามันใช้ปัญญา ปัญญาที่เกิดจากสัมมาสมาธิ นั่นคมคิด มันคิดด้วยคมปัญญา เวลาคิดด้วยคมปัญญามันทะลุปรุโปร่งนะ

จิตสงบแล้วเห็นกาย พิจารณากาย กายนี้สักแต่ว่ากาย จิตสงบแล้วพิจารณาเวทนา เวทนาเพราะความโง่เขลาของจิตนี้มันไปแบกรับเท่านั้นเอง เวทนาสักแต่ว่าเวทนา เวลาเวทนาขาดไปจากจิต จิตไม่ใช่เวทนา เวทนาไม่ใช่จิต ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เรา เราไม่ใช่ขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ไม่ใช่ทุกข์ ทุกข์ไม่ใช่ขันธ์ ๕ ไม่ใช่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต่างอันต่างจริง เวทนาก็เป็นเวทนาจริงๆ

ทั้งๆ ที่เวทนาเป็นนามธรรมที่เกิดจากจิตนี้แหละ แต่เวลามันขาดไปแล้ว เวทนาก็เป็นเวทนา จิตก็เป็นจิต ทุกข์ก็เป็นทุกข์

นี่ไง เวลาจิตสงบแล้วพิจารณาจิต จิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส จิตที่มีอาการอย่างใด พิจารณาธรรมๆ ธรรมารมณ์ ธรรมคือความเป็นธรรมสัจธรรม ผลกระทบสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างจิตกับสิ่งกระทบกับวัฏฏะมากมายมหาศาลเลย การพิจารณาธรรมไม่มีที่สิ้นสุดเลย ด้วยสติด้วยปัญญาของตน พิจารณาแยกแยะไปตามความเป็นจริงขึ้นมา

ถ้ามีสัมมาสมาธิโดยสติพร้อม นี่คมคิด ถ้าสติมันอ่อนลง สมาธิมันเบาบางลง สัญญาทั้งสิ้น กิเลสพาคิด กิเลสมันชักจูงไปแล้ว

การภาวนาไม่ใช่ภาวนาแล้วมันจะราบรื่นไปตลอดไป การภาวนาเริ่มต้น ท่ามกลาง และที่สุด การภาวนาที่ไม่ได้ผลเพราะการที่ปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ การปฏิบัติสม่ำเสมอคือการปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย การปฏิบัติเสมอต้นเสมอปลาย

แม้แต่การปฏิบัตินั่งสมาธิเหมือนกัน เวลาได้สมาธิมันยังแตกต่างกัน เวลาใช้ปัญญาๆ ไป ปัญญาที่มันสมบูรณ์แบบของมัน เห็นไหม เวลาเริ่มภาวนามันไปของมันแล้ว เวลาตั้งใจจะใช้ปัญญาเลยๆ ปัญญาเถ่อไปอยู่ไหนน่ะ นี่กิเลสพาคิด

เวลาคมคิดนะ มันสมดุลพอดีทั้งสิ้น เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมไง เราตรัสรู้ธรรมโดยชอบๆ ถ้ามันเป็นคมคิดมันเป็นความชอบธรรม เป็นความชอบธรรม เป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม มายืนยันเลย เรียกร้องเลย มายืนยัน ยืนยันหัวใจนี้ ยืนยันพฤติกรรมในการกระทำนี้ ยืนยันผลที่เกิดการกระทำนี้ มันพิสูจน์ได้น่ะ นี่ไง ยถาภูตัง เวลาเกิดญาณทัสสนะ เกิดความหยั่งรู้ เกิดต่างๆ มากมายมหาศาล ปิดกั้นไม่อยู่

เวลาเราปิดกั้น ปิดกั้นโดยวิทยาศาสตร์ไง ปิดกั้นโดยวิทยาศาสตร์ว่ามันทฤษฎี ปิดกั้นโดยวัตถุ ปิดกั้น ดูสิ พระอาทิตย์ปิดกั้นโดยเมฆ ปิดกั้นโดยภูเขาบัง ปิดกั้นๆ ไง

แต่เวลาปัญญาที่มันทะลุปรุโปร่งไปแล้ว อะไรจะปิดกั้น ทะลุปรุโปร่งหมดน่ะ มันตามล้างตามเช็ด ตามพิจารณาของมันโดยสัจจะโดยความจริง ถ้าเป็นคมคิดนะ

ในวงกรรมฐาน ท่านเปรียบเหมือนกองขยะ จิตลองไฟติดแล้วนะ มันเผาไปจนกว่ากองขยะกองนั้นจะหมด มันเผานะ ภาวนาเป็น เขาเรียกเวลาไฟมันติดแล้ว ภาวนาเป็นๆ ถ้ามันยกขึ้นสูงจนเป็นมหาสติ มหาปัญญา ต้องรั้งไว้

ไอ้เราภาวนาเกือบเป็นเกือบตายนะ ถูลู่ถูกัง ให้เป็นจริงมันไม่เป็นเลย แต่เวลาที่มันภาวนาติด มันโหมแรงแล้ว ต้องรั้งไว้นะ ไม่รั้งไว้มันไม่ได้หลับไม่ได้นอนนะ ร่างกายมันทนไม่ไหว มันต้องพัก มันไม่พักมันไม่ไหว เวลามันไปก็ต้องรั้งไว้

ขณะที่ว่าเวลาประพฤติปฏิบัติที่ภาวนาไม่ได้มันก็ถูลู่ถูกังแทบเป็นแทบตาย เวลาภาวนาเป็นขึ้นมาแล้ว แหม! มันชื่นใจ แล้วพอภาวนาต่อเนื่องไป พอมันเจริญงอกงามขึ้นมา ตอนนี้มันเตลิดเปิดเปิงเลยนะ ปัญญาคมคิดที่ว่ามันยอดเยี่ยม โอ้โฮ! มันไหล ไหลตลอดเวลา จนเรารับไม่ไหว

แล้วรับไม่ไหวต้องทำอย่างไร

ต้องหยุด ต้องพัก นี่ไง กลับมาพักเพื่อความเข้มแข็ง กลับมาพักโดยที่ไม่ให้มันถูลู่ถูกังจนเกินไป มัชฌิมาปฏิปทา เทฺวเม ภิกฺขเว ทาง ๒ ส่วนไม่ควรเสพๆ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ให้เสพ ไม่ควรเสพเลย ไม่ใช่ ๑ หรือ ๒ ไม่มี ไม่มีหรอก

มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง แต่ทางสายกลาง พอทางสายกลางแล้วมันก็จริตนิสัยอำนาจวาสนาของคน อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน เวรกรรมของคนไม่เหมือนกัน สรรพสิ่งในโลกนี้เกิดมาไม่เท่ากัน

คำว่า “ไม่เท่ากัน” คนจะทำให้เหมือนกันโดยเหมือนกันให้เป็นจริงเหมือนกันเป็นไปได้ยาก เป็นแทบไม่มีเลย ต่างฝ่ายเป็นจริงให้มันเป็นจริงเป็นจัง เป็นสัจจะเป็นความจริงขึ้นมาเถิด ให้มันเป็นสัจจะ

อริยสัจมีหนึ่งเดียวๆ อริยสัจอันนั้นเป็นอันเดียวกัน จะประพฤติปฏิบัติในแนวทางใดก็แล้วแต่ พิจารณากาย พิจารณาเวทนา พิจารณาจิต พิจารณาธรรม อย่างใดก็แล้วแต่ เวลาสมุจเฉทปหานอันเดียวกัน อันเดียวกัน เหมือนกัน รู้ได้ชัดเจน ภาวนาเป็นแล้วมันปิดบังกันไม่ได้หรอก

โลกแห่งความเป็นจริง ไม่ใช่โลกมืดอยู่ในยุคของตน อยู่ในมุมมองของตน คนอื่นไม่ได้ คนอื่นจะเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่

ขอให้ปฏิบัติเถิด แล้วถ้ามันเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา เวลากิเลสขาดดั่งแขนขาด ถ้ากิเลสขาดจากใจไปแต่ละชั้นแต่ละตอนขึ้นไป สาธุ เขาต้องมีคุณธรรมในหัวใจในใจของเขา นี่ไง ถ้าเป็นพระโสดาบันไง ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ไม่กะล่อนไม่ปลิ้นปล้อน ไม่พูดชักหน้าชักหลัง ไม่พูดเหมือนคนขาดสติ เหมือนคนไม่รู้อะไรเลย แล้วพูดแล้วเปลี่ยนคำพูด ยักย้ายถ่ายเทต่ออยู่ที่เหตุการณ์ มันเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างนั้นหรือ

พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาไม่ถือมงคลตื่นข่าว มั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ผิดศีลแน่นอน แน่นอน แน่นอน

นี่ไม่ผิดศีลในอะไรล่ะ เพราะในพระพุทธศาสนานะ ศีลนี้ยกเว้นต่อภิกษุไข้ ยกเว้นแต่ภิกษุเฒ่า ถ้าภิกษุเฒ่าตามธรรมวินัยเรื่องเสขิยวัตร ภิกษุเฒ่า ถ้าเฒ่าแล้วบางทีมันทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะประสาทสัมผัสมันไม่ปกติแล้ว นี่ยกเว้น วินัยยกเว้น ยกเว้นภิกษุภาวนาหลง ภิกษุสติไม่สมบูรณ์ ภิกษุไข้ ภิกษุเฒ่า นี่ไง คำว่า ยกเว้น” ไง

ไม่ผิดศีล ถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วไม่ผิดศีลในพระพุทธศาสนาแน่นอน แน่นอน แน่นอน เพราะแน่นอน ในใจไม่ผิดศีลแน่นอน แต่สรีระร่างกายที่มันแก่เฒ่านั้นเป็นสิ่งสุดวิสัย ถ้าสุดวิสัย คำว่า สุดวิสัย เพราะมันชราคร่ำคร่า สุดวิสัยวินัยเขายกเว้น ก็มันเป็นเรื่องสุดวิสัย แต่ใจเขาไม่ได้ทำ ใจเขาไม่อยากทำ ใจเขาไม่ต้องการจะทำ แต่เป็นเรื่องสุดวิสัย นี่พูดถึงว่าถ้าเป็นพระอริยบุคคลนะ ไม่ชักหน้าชักหลังเหมือนคนขาดสติ

คนมีสติ คนขาดสติ มองก็รู้เข้าใจได้

นี่พูดถึง ถ้ามีคมคิด คิดแบบคมปัญญาในพระพุทธศาสนามันจะเจริญงอกงามสวยงาม ไม่ใช่ปัญญาเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์แสนงอน ชักหน้าชักหลัง แล้วมันทำลายโดยทางอ้อม คนเห็นแล้วมันจะเชื่อได้อย่างไร เว้นไว้แต่คนที่ปัญญาอ่อนแอเขาก็เชื่อของเขา แต่ถ้ามันเข้มแข็งขึ้นมา เห็นแล้วเขาก็รู้

กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อ ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อผลของการปฏิบัติ แล้วเราก็จะประพฤติปฏิบัติของเรา ปฏิบัติเพื่อดวงใจดวงนี้ ดวงใจดวงนี้ให้มีธรรมและวินัยคุ้มครองดูแล แล้วเรามีสติปัญญา สติสัมปชัญญะคุ้มครองดูแลใจของเรา แล้วประพฤติปฏิบัติของเราให้สมควรแก่ธรรม ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เอวัง