เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ที่เรามาวัดมาวากัน ศาสนวัตถุ วัดจะสวยงามดีเด่นขนาดไหนมันเป็นแค่วัตถุ อิฐหินทรายปูนใครก็สร้างได้ เดี๋ยวนี้เขาสร้างร้านอาหารเหมือนวัด สวยกว่าวัดอีก ร้านอาหาร ที่พักโรงแรมเขาสร้างดีกว่าวัดอีก นั่นน่ะมันศาสนวัตถุ
ศาสนพิธี เราไปวัดไปวา ศาสนพิธี พระที่บวชมาแล้วต้องศึกษา ศึกษามาเพื่อเป็นศาสนพิธี พิธีกรรมต่างๆ ที่เราจะทำในพระพุทธศาสนา
ศาสนบุคคล บุคคลเข้ามาในพระพุทธศาสนา บริษัท ๔ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้คือให้มรดกธรรมไว้ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
อุบาสก อุบาสิกา ผู้ที่ยังอยู่ทางโลก นี่กามคุณ ๕ กามคุณ ๕ ไง กามที่เป็นคุณ กามที่เป็นคุณเพราะมีศีลมีธรรม
แต่เวลาบวชเป็นพระ พรหมจรรย์ กามคุณนั่นน่ะมันทำให้คนเสื่อมเสีย นี่ไง เพราะอะไร นี่ไง วัตถุกาม อยากได้วัตถุ สิ่งต่างๆ วัตถุกาม กามราคะมันมีเต็มไปหมดน่ะ
แต่คนที่ถือพรหมจรรย์ๆ พรหมจรรย์เพื่ออะไร
พรหมจรรย์เพื่อพรหมจรรย์ พรหมจรรย์ไม่ใช่ไปแก้ทิฏฐิมานะของใคร พรหมจรรย์ไม่ใช่เพื่อความยิ่งใหญ่ เพราะพรหมจรรย์มันเข้ามาสู่ในหัวใจนี้ไง ถ้าหัวใจนี้เป็นธรรมๆ แล้ว พระพุทธศาสนาชี้ลงไปที่ใจของสัตว์โลก ใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ๆ
สัตว์ที่เป็นอาหาร หมูเห็ดเป็ดไก่มันอยู่ที่ร้าน นั่นน่ะจะรื้อสัตว์ขนสัตว์หรือ เนื้อหนังมังสามันเป็นอาหารของมนุษย์
นี่ไง แต่ถ้าเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อสัตว์ขนสัตว์ในหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลก ปฏิสนธิจิตๆ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันเกิดมาเป็นคนนี้
เวลาเกิดเป็นคนนี้เพราะอะไร
เป็นคนนี้เพราะมีมนุษย์สมบัติ
มนุษย์สมบัติคืออะไร
มนุษย์สมบัติคือศีล ๕ พอคนที่มีศีลมีธรรมขึ้นมาเราถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ พอเกิดเป็นมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์มีกฎหมายคุ้มครอง มนุษย์มีสมอง มนุษย์มีศักยภาพ
ในบรรดาสัตว์สองเท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด
เวลาประเสริฐที่สุด เราเกิดเป็นมนุษย์มีคุณค่าแค่ไหน เรามีคุณค่าขึ้นมาแล้วหลงกับโลก เกิดแล้วจะยิ่งใหญ่
ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งใหญ่ของโลกๆ ไง ยิ่งใหญ่ก็อยู่ในโลงไง ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นตายหมด
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้เป็นกษัตริย์ นี่ไง ไปเที่ยวสวนเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เราก็ต้องเป็นเช่นนี้ใช่ไหม เราก็ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตายไปกับเขาใช่ไหม เป็นกษัตริย์แล้วก็อยู่ในโลงไง จะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ลงโลงหมดไง ลงโลงหมดแล้ว พอไปเกิดใหม่เกิดเป็นอะไร
พอไปเกิดใหม่เป็นอะไร ถ้าเป็นกษัตริย์ที่ดีมีคุณธรรมมันพัฒนาขึ้นมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดเป็นจักรพรรดิ เกิดเป็นกษัตริย์ซ้ำแล้วซ้ำเล่าๆๆ
เวลาพระโพธิสัตว์ๆ เกิดเป็นจักรพรรดิคุ้มครองดูแลสัตว์โลกเพื่อความสุขความสงบความระงับขึ้นมาไง เพื่ออำนาจวาสนาบารมีธรรมอันนั้นขึ้นมาไง เวลาขึ้นมาแล้ว ชาติสุดท้าย พระเวสสันดรนั่นก็เป็นกษัตริย์เหมือนกัน
เวลาจะมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ด้วยความเกิดเป็นมนุษย์ ศักยภาพการสร้างสมอันนั้นมา เห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย พระพุทธศาสนาสอนที่นี่นะ
พระพุทธศาสนาไม่ใช่สอนเครื่องรางของขลังนะ มีพลังงานอะไรที่จะร่ำจะรวยนะ จะร่ำจะรวยมันอยู่ที่ปฏิภาณไหวพริบของคน
พระพุทธศาสนาสอนเรื่องการเกิด การแก่ การเจ็บ การตาย
แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากธรรมวินัยไว้กับบริษัท ๔ บริษัท ๔ เป็นฆราวาสธรรมๆ ฆราวาสธรรมต้องมีกตัญญูกตเวทีใช่ไหม มีพ่อมีแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก
คนที่เขามีหลักการนะ อู๋ย! ดิ้นรนจะไปหาพระอรหันต์ๆ แต่ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้ที่บ้าน ทิ้งพ่อทิ้งแม่ไว้นอนจมขี้จมเยี่ยว แล้วไม่ได้ดูพ่อแม่เลย แล้วก็จะไปหาพระอรหันต์ๆๆ
พระอรหันต์อยู่ในบ้าน พระอรหันต์ของเรา พ่อแม่ได้ดูแลหรือยัง ได้คุยกับพ่อแม่บ้างหรือเปล่า ได้ดูแลพ่อแม่เราหรือไม่ แล้วถ้าพ่อแม่ของเรา เห็นไหม นั่นน่ะพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูกแท้ๆ เลยล่ะ เพราะอะไร
เพราะพันธุกรรมนะ เราเกิดจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เป็นพระอรหันต์ของลูกนะ แต่เวลาเราแสวงหาพระอรหันต์ๆ พระอรหันต์มันต้องมีมรรคญาณ มีมรรค ๘ มีบุคคล ๔ คู่ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผลนะ พระอรหันต์จะเกิดตรงนี้ ถ้ามีมรรคมีผลจริงขึ้นมามันจะเป็นพระอรหันต์ที่แท้จริง
นี่หมุนไปหมุนมา หันแล้ว หันในวัฏฏะ นี่หันไง หันไปไหน
‘อะ’ คือไม่หัน พระอรหันต์คือไม่หันใดๆ ทั้งสิ้น พระอรหันต์คือไม่ยุ่งเกี่ยวใดๆ ทั้งสิ้น พระอรหันต์คือรักษาหัวใจของตนให้ได้ไง นี่ถือพรหมจรรย์ไง
เราไปวัดไปวา ไปวัดไปวาเพื่อเหตุนี้ ไปวัดไปวาเพื่อทำบุญกุศลของเราเพื่อเพิ่มอำนาจวาสนาของเราไง ถ้าเพิ่มอำนาจวาสนาของเรา ไม่ให้กิเลสมันบีบคั้นจนเกินไปนัก
เวลาหลวงตาท่านสอนนะ ตัณหาความทะยานอยากสุมมันเข้าไป สุมมันเข้าไป แล้วเราก็ทุกข์เราก็ยากเข้าไป ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าชักฟืนออก ชักเชื้อฟืนเชื้อไฟในใจของเราออก ชักมันออกให้ไฟมันร่มเย็นเป็นสุขลง ให้ไฟมันเบาบางลง เบาบางลงจนมีคุณธรรมในใจของเรา เราชักออกๆ
ที่เรามาวัดมาวานี่เรามาชักออกด้วยอะไร ด้วยสติด้วยปัญญาของเราไง ชักทิฏฐิมานะที่ความเห็นผิด ชักมุมมองทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง เอามันออกๆ เอามันออกด้วยอะไร
นี่ไง ตรึกในธรรมๆ ไง ตรึกในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเท่าทันความรู้สึกของเรา เราไม่มีปัญญาทันความคิดของเรา เราไม่มีปัญญาทันกิเลสของเรา ก็เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปก่อน เชื่อไปก่อนๆ
ปริยัติ การศึกษา ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาคนที่มีทุกข์มียากขึ้นมาไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิบายให้เห็นผลตรงข้าม สิ่งที่มันมีความทุกข์ๆ อยู่นี่ ความทุกข์มันต้องดับได้
ความทุกข์ดับได้ ดับได้ด้วยอะไร
ดับได้ด้วยสติด้วยปัญญาที่รู้เท่าทันมัน ถ้ารู้เท่าทันมันด้วยเหตุด้วยผล
กิสาโคตมี กิสาโคตมีใช่ไหม ที่ลูกเขาตายไง พอลูกเขาตายขึ้นมาเขาก็อุ้มลูก เห็นไหม ศาสนานี้ยิ่งใหญ่ ศาสนานี้ต้องฟื้นฟูได้
อุ้มลูกไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเอาลูกคืนให้ได้ จะเอาลูกคืนให้ได้
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นี่ความคิดเขาสุดโต่ง
บอก อ้าว! เอาลูกคืนก็ได้ จะทำพิธีกรรม แต่จะทำพิธีกรรมนั้นต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่มีคนตาย
ไปหามา จะไปประกอบพิธีกรรม เขาก็อุ้มลูกอุ้มซากศพนั้นวิ่งไปตามบ้านคนนู้น บอก “บ้านนี้มีคนตายหรือไม่” “มี” “บ้านนี้มีคนตายหรือไม่”
มันมีคนตายมาอยู่แล้ว เพราะปู่ย่าตายายของเราตายหมดแล้ว ปู่ย่าตายายทุกคนตายหมดแล้ว ถ้าไม่มีคนตาย โอ้โฮ! มันไม่ล้นโลกหรือ มันตายมาหมดแล้ว วิ่งไปจนไม่มีบ้านไหน ชักเหนื่อยอ่อน ชักคิดได้ คิดได้เพราะอะไร
คิดได้เพราะความทุกข์มันเจือจางไป เจือจางไปกับบ้านต่างๆ บ้านนั้นก็มีคนตาย บ้านนี้ก็มีคนตาย บ้านนู้นก็มีคนตาย แล้วลูกเราตายอยู่ในอ้อมกอดนี่มันก็ตาย แต่เพราะเราไม่ยอมรับความจริง เราจะเอาลูกเราคืนมาให้ได้ไง
นี่ไง ไปหาเมล็ดผักกาดที่ว่าบ้านที่มีคนตายมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทำพิธีกรรมให้ ไม่มี ไม่มี พอไม่มีขึ้นมา กลับมายอมจำนนไง
อืม! ความตายเป็นเรื่องธรรมดา คนเราเกิดมาถึงที่สุดแล้วต้องสิ้นชีวิตไปเป็นเรื่องธรรมดา แล้วลูกของเราตายไปโดยโรคภัยไข้เจ็บอย่างไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นเรื่องสุดวิสัย ความสุดวิสัยแล้วเราจะฝืนสัจจะความจริงมันจะเป็นไปได้อย่างไร ได้คิด เห็นไหม
นี่ไง ชักฟืนออกๆๆ พอชักฟืนออกขึ้นไปแล้วก็ได้สติ ได้สติขึ้นมา ได้สติปัญญาขึ้นมาก็ขอบวชกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย โอ้โฮ! โลกนี้มันทุกข์ยากนัก
นี่ไง ถ้าเราไม่มีสติปัญญาเท่าทันความรู้สึกของเรา เราก็เชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นี่ไง ธรรมและวินัย สัจจะความจริงในพระไตรปิฎก ในพระไตรปิฎกก็อธิบายเรื่องอย่างนี้ สอนเรื่องอย่างนี้ไว้
แล้วถ้าใครไปศึกษา ศึกษาเป็นภาษาบาลีใช่ไหม ของเราศึกษาบาลี เดี๋ยวนี้แปลเป็นภาษาไทย เราแปลเป็นภาษาไทย เราก็อ่านด้วยหนังสือที่แปล เราก็ได้ความรู้มากน้อยขนาดไหน ถ้ามันได้สติปัญญาขึ้นมา เราจะฝึกหัดของเรา เราจะเอาหัวใจของเรา ถ้าชักฟืนออกๆ จากใจของเรา เราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้นๆ
ตรึกในธรรมๆ เรามีคุณค่าขนาดนี้ ขนาดว่าเราจำเรื่องเก่าๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอธิบายมา ๒,๐๐๐ กว่าปี เรายังได้สติปัญญาขนาดนี้ แล้วถ้าเรามีสติปัญญาของเรา เราเท่าทันกิเลสของเราในใจของเรา มันจะมหัศจรรย์ขนาดไหน ถ้ามีความมหัศจรรย์ขนาดไหน ไงมันจะฝึกหัดของมัน เวลาฝึกหัดของมัน หัดภาวนาแล้ว นี่ไง พรหมจรรย์ พรหมจรรย์เพื่อใคร พรหมจรรย์เพื่อหัวใจดวงนี้ไง
ถ้าพรหมจรรย์เพื่อหัวใจดวงนี้ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หามันให้เจอก่อน
ทั้งๆ ที่ว่าจิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เหมือนเพชรที่หน้าผาก เพชรที่ไว้ที่หน้าผากจะไม่เคยเห็นเพชรของตน วิ่งหาไปเถอะ ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหน
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า หน้าผากเอ็งไง หน้าผากเอ็ง
นี่ก็เหมือนกัน ใจของตนอยู่กับเรา ปฏิสนธิจิต ถ้าไม่มีจิตจุติลงสู่ไข่ของมารดา กำเนิด ๔ ไม่มีการเกิด การเกิดเกิดจากตรงนั้น เกิดจากจิตของเรานี่ เกิดจากอวิชชา เกิดจากความโง่ เกิดจากความไม่รู้ ถึงได้จุติในครรภ์
ในครรภ์ ในไข่ ในน้ำครำ ในโอปปาติกะ การกำเนิด ๔ พอกำเนิดมาเป็นเราๆ แล้ว เป็นเรา เราสมบุกสมบันอยู่กับโลกเขา แต่ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมาจะค้นคว้าหาใจของตน ทำไม่เป็น หาไม่เจอ หาไม่ได้ ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ารู้หมด แล้วเวลาไปศึกษามาแล้วนะ นี่ไง มหาโจร นี่ไง รู้หมด เข้าใจหมด...เป็นของมึงหรือ รู้จริงหรือ
ลิขสิทธิ์นะ จำขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามา เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกพระอานนท์นะ “อานนท์ ไม่มีกำมือในเรา”
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปิดเผย ชัดเจน เอ็งทำขึ้นมา นี่ไง เวลาศึกษามา ศึกษามาเพื่อปฏิบัติ
แล้วศึกษามาทำไม ศึกษามาแล้ว พอจบแล้วก็นอนจมอยู่นั่นไง เพราะทำขึ้นมาไม่ได้ไง เพราะรู้ไปหมดไง รู้ไปหมดแล้วไม่มีความเพียร ไม่มีความวิริยะ ไม่มีความอุตสาหะไง
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มรรค ๘ ความเพียรชอบ ความเพียรที่ทำอยู่นี่ชอบหรือไม่ชอบ มิจฉาหรือสัมมา ที่ทำๆ กันอยู่นั่นน่ะ
ถ้ามันมิจฉา มิจฉามันก็ย่ำอยู่กับที่นั่นน่ะ ทำนาไปทำบนภูเขา ทำนาไปทำบนหิน มันจะเกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำนามันต้องลงที่ดินนั้น แล้วดินอยู่ไหน นี่ถ้ามันไม่ชอบไง
ถ้ามันชอบ ชาวนาเขาหาพื้นที่ บนภูเขาเขาก็ทำคันนาขั้นบันได เขาทดน้ำของเขา เขาทำของเขา เขาทำด้วยความชอบธรรมของเขา ถ้าคนที่ทำความชอบธรรมของเขามันก็ต้องเป็นสัจจะความจริงของเขา มันก็เป็นวาสนา
พันธุกรรมของจิตๆ ถ้าสิ่งใดที่ชอบธรรมมันไม่สนใจ นู่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ถ้าตรงกิเลสกูน่ะใช่ ถ้าตรงกับความพอใจของกูน่ะใช่ ไอ้นู่นก็ไม่ใช่ ไอ้นี่ก็ไม่ใช่ไง
การประพฤติปฏิบัติคือการขัดแย้งกับกิเลสในใจของตน ไอ้ที่ไม่ใช่ๆ จริงหรือเปล่า ไอ้ที่ไม่ใช่ๆ ก็มึงไม่ชอบไง มึงไม่ชอบมึงก็พยายามจะสุมไฟไง สิ่งที่เป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในหัวใจแล้วสุมให้มันมากขึ้นไง
เรามาประพฤติปฏิบัติเพื่อจะมาดับไฟไง การดับไฟมันต้องชักฟืนออกๆ สิ สิ่งที่ไม่ใช่ๆ ต้องพิสูจน์ว่าใช่หรือไม่ใช่สิ ไอ้ที่ว่าใช่ๆๆ ก็ใช่จริงหรือเปล่า ถ้าใช่จริงขึ้นมา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ถ้ามีสติปัญญาขึ้นมามันต้องเป็นความจริงแน่นอน
น้ำหยดลงหิน ทุกวันหินมันยังกร่อน เอ็งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำความถูกต้องดีงามทุกวันๆ มันจะเป็นสมาธิขึ้นมาไม่ได้จริงหรือ ถ้ามันเป็นสมาธิขึ้นมาไม่ได้จริง พระพุทธศาสนาอยู่มาได้ ๒,๐๐๐ กว่าปีได้อย่างไร
จะอยู่ไปถึง ๕,๐๐๐ ปี พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้ พระศรีอริยเมตไตรยก็มาตรัสรู้แบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน อริยสัจ ๔ เหมือนกัน สัจจะเหมือนกัน แก้ทุกข์เหมือนกัน ดับทุกข์เหมือนกัน ฆ่ากิเลสเหมือนกัน อันเดียวกัน ถ้ามันเป็นความจริงไง ถ้ามันไม่จริงมันคงทนมาได้อย่างนี้ได้อย่างไร
อนาคตกาลผู้ที่จะมาปฏิบัติก็ต้องมีความรู้อย่างนี้เหมือนกันไง แล้วเราทำความจริงอยู่นี่มันจะไม่เป็นสมาธิได้อย่างไร
มันไม่เป็นสมาธิก็ตัวเราเองไง
ธรรมและวินัยไง ศาสดาของเราไง เคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง แต่ไม่ทำตามไง แล้วทำแล้วก็ทำไม่ได้ผลไง ถ้าทำไม่ได้ผลขึ้นมา เห็นไหม
ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
ไอ้นี่มันด้นเดาเกาหมัดต่อต้านพลิกแพลง ปัญญาชน มีการศึกษา เดี๋ยวนี้โลกเจริญแล้ว ข้ออ้างกิเลสทั้งนั้นน่ะ
เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมานี่ให้โง่ที่สุด นี่ไง เวลาหลวงตาท่านสอน โลกนี้เหมือนไม่มี มีแต่ความรู้สึกเรากับพุทธะเท่านั้น
หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อะไรก็ไม่มี ไม่มีทั้งสิ้น บังคับเด็ดขาด หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ นั่นคือนวกรรม นั่นคือการกระทำ จิตที่มีการกระทำแล้ว ผ้าได้ซักแล้วมันต้องสะอาด ผ้าไม่เคยซักเลย หรือไปซักในน้ำโคลน ซักในน้ำที่โสโครก ยิ่งซักยิ่งสกปรก
แต่ผ้าที่ซักน้ำที่สะอาด น้ำที่สะอาดคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่เราเชื่อมั่นของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ ทำต่อเนื่องไป น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน เรามีการกระทำแล้วมันจะไม่เป็นจริงขึ้นมาได้อย่างไร
มีแต่พวกเราอ่อนแอ มักง่าย ไม่ต้องทำอะไรเลยก็พบแล้ว
ได้ยินมาแล้ว ฟังแล้ว แหม! มันขึ้นทุกทีนะ
“ไม่ต้องทำอะไรเลย สมาธิมันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องทำอะไรเลย จิตมีอยู่แล้ว เฉยๆ ก็เป็นสมาธิ”
หา? สอนกันอย่างนี้ แล้วก็เชื่อ
แล้วจะมาหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ จะมาบริกรรมพุทโธ จะมาปัญญาอบรมสมาธิ อานาปานสติ โอ๋ย! มันยุ่งมันยาก
เราดูข่าว อานาปานสติเขาไปสอนเด็กๆ เด็กๆ ๕ ขวบ ๖ ขวบเวลามา “เมื่อก่อนนี้เป็นคนที่กลัว เดี๋ยวนี้หายกลัวแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนที่เครียด เดี๋ยวนี้หายเครียดแล้ว เมื่อก่อนเป็นคนขี้โกรธ...” เด็กๆ มันยังได้ผลเลย เห็นไหม เด็กๆ มันได้ผลเพราะอะไร
เพราะมันผ้าขาว มันไม่มีมารยาสาไถย มันไม่มีการต่อรอง มันทำตามข้อเท็จจริงนั้น เวลามันได้ผลขึ้นมา “เมื่อก่อนกลัวมาก ไม่กล้าออกหน้าชั้น เดี๋ยวนี้หายหมดแล้ว”
แล้วเขาถามว่ามากำหนดอย่างไร
หายใจเข้า หายใจออก อานาปานสติของเขา เด็กๆ มันยังได้ผลเลย เพราะอะไร มันทำตามข้อเท็จจริงนั้น มันไม่มีมารยาสาไถย มันไม่มีกิเลสไปครอบงำ มันไม่มีความต้องการ ไม่มีการคาดหมาย
นี่มันมีฟืนมีไฟอยู่แล้วก็สุมมันเข้าไปอีกไง อยากได้อยากดีอยากเด่น ปฏิบัติแล้วต้องอรหันต์ๆ
หันไหน หันอะไรของมึง
แต่ถ้าเป็นจริงนะ นิ่งแล้วสงบมาก สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาแล้วทอดธุระยังไม่อยากสอน เวลาหลวงตาท่านถึงที่สุดแล้ว “จะสอนใครได้ จะสอนใครได้”
แต่เราไม่ใช่เทวดา ถ้าเราทำได้ คนอื่นก็ทำได้ ถ้าทำได้ๆ แต่ทำได้ด้วยวิธีการ ทำได้ด้วยสติด้วยปัญญามากน้อยแค่ไหน ทำได้ด้วยอำนาจวาสนาไง
เวลาอำนาจวาสนาของตน เวลาหลวงตาท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน เวลาเริ่มต้นใหม่ๆ กิเลสมันฟันกันจนหัวปักดินเลย เวลาท่านอุทานขึ้นมาในใจนะ “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ” ท่านนั่งร้องไห้เลย “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ”
“เอากูขนาดนี้” คือมันปั่นป่วนในใจจนล้มลุกคลุกคลานไง มันปั่นป่วนจนเราเละเลย เละจนมันสิ้นไร้ไม้ตอก “มึงเอากูขนาดนี้เชียวนะ ถ้าวันไหนกูมีกำลังขึ้นมา สติกูดีขึ้นมา กูจะเอามึงบ้าง” ท่านคิดของท่านอย่างนี้
ไม่ใช่พวกเรา “โอ้โฮ! อัตตกิลมถานุโยค พระพุทธเจ้าก็บอกแล้วว่ามันเป็นการทำความลำบากเปล่า มันทุกข์เกินไป เดี๋ยวนี้ไม่ต้องทุกข์เกินไปหรอก สำนักปฏิบัติเขาติดห้องแอร์หมดเลย ห้องกระจก มีบริการพร้อม”
อันนั้นคือคนที่ใจเขาเป็นธรรมเขาพยายามจะแสวงหาบุญกุศลของเขาเพื่อสังคม เพื่อคนดี คนเราถ้าสนใจในพระพุทธศาสนา การเสียสละเป็นเรื่องยิ่งใหญ่แล้ว แล้วถ้าประพฤติปฏิบัติ นี่คือคนที่เขาปรารถนาดีกับสังคม คนที่เขาปรารถนาดีกับเยาวชน เขาพยายามจะทำคุณงามความดีของเขา แต่เขาทำเท่านั้นไง นี่ไง แหม! ติดแอร์ นั่งกันมีความร่มเย็น มันก็ดีส่วนหนึ่ง
แต่ในการปฏิบัติตามความเป็นจริง กิเลสมันเรื่องจริงๆ เกิดตายมันเรื่องจริงๆ เกิด เกิดจริงๆ เจ็บ เจ็บจริงๆ ชราจริงๆ ตาย ตายจริงๆ เวลาจะแก้มันต้องแก้ด้วยกูจะทำจริงๆ มันแก้ด้วยมรรคด้วยผลความเป็นจริงขึ้นมา
ถ้าความเป็นจริงขึ้นมา ที่ไหน เวลาไหน ถ้ามันเป็นจริง ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น พับ! จบเลย แต่ก่อนที่ช้างกระติกหู กว่าช้างมันจะเกิดมานะ แล้วกว่าจะดูแลช้างนะ แล้วช้างเป็นลูกช้างนะ เดี๋ยวปางช้างมันจะมาฆ่าแม่มัน เอาลูกมันไป เอาลูกมันไปเป็นธุรกิจบริการนู่นน่ะ
นี่ไง เวลาช้างกระดิกหู แล้วช้างที่ไหนจะกระดิกหู เวลาพูด พูดแล้วคนเรามันเคลิบเคลิ้มไปแล้วมันก็คิดแบบนั้นน่ะ แล้วมันก็อารมณ์ชั่ววูบ อุปาทานไง อะไรแว็บขึ้นมา “เออ! ใช่ นี่ไง ธรรมะ ปัญญา พับ! อ๋อ! นี่สิ้นกิเลส”
คนที่มี หลวงตาเวลาท่านบอก เวลามันเสวยแล้วปล่อย เสวยแล้วปล่อย อย่างนี้ไม่ใช่พระอรหันต์หรือ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะคำว่า “อย่างนี้” คือการคาดหมาย
ถ้า “อย่างนี้ หรือ จะ น่าจะเป็น” ไม่เอา มันต้องฟันกันสดๆ ร้อนๆ มันต้องฆ่า มันต้องสมุจเฉทปหาน ต้องฆ่ากันต่อหน้า เวลามันฆ่ากิเลสมันต้องฆ่าต่อหน้า ยถาภูตัง เกิดญาณทัสสนะ เกิดความหยั่งรู้ เกิดความมหัศรรย์ นั่นอันนั้นถึงเป็นความจริง แล้วความจริงอย่างนี้
นี่ไง ในพระพุทธศาสนาของเรามีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ เราเป็นชาวพุทธไง นี่ไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากพระพุทธศาสนาไว้เป็นมรดกธรรม แล้วเราพยายามประพฤติปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นความจริงในใจของเราขึ้นมาบ้าง
ถ้าเป็นฆราวาสเราก็อยู่ในศีลในธรรม ถ้าประพฤติปฏิบัติขึ้นมาได้ให้มันเป็นความจริง ให้มันเป็นความจริงทุกๆ กระบวนการของมัน เราจะเป็นชาวพุทธที่แท้จริง มีสัจจะ ไม่ใช่กะล่อนปลิ้นปล้อน โอ๋ย! เวรกรรม
นี่ไง พระพุทธศาสนาไง พระพุทธศาสนาคือเรื่องพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนายอดเยี่ยมดีงามนะ ที่มันปลิ้นปล้อนกะล่อนนี่มันกิเลสของคน มันสิบแปดมงกุฎ มันเพลี้ยเหลืองเข้ามาหากินในพระพุทธศาสนา นั่นเป็นเรื่องของเขา
หลวงตาสอนอย่างนี้ ใครจะทำดีทำชั่วมันเรื่องของเขา ใครจะชั่วช้าขนาดไหนเรื่องของเขา เราจะทำคุณงามความดีว่ะ เราจะทำคุณงามความดีของเรา เราพยายามจะดับฟืนในใจของเรา เราพยายามของเรา
เราจะให้ทุกคนสมความปรารถนาให้เป็นคนดีไปทั้งหมดเป็นไปไม่ได้ แม้แต่อารมณ์เรายังแปรปรวนเลย แต่เราพยายามรักษาใจของเรา ไอ้ที่มันแปรปรวนเราก็รักษาให้มันมั่นคงขึ้นมา ให้มีหลักการขึ้นมา แล้วรักษาใจดวงนี้เพื่อประโยชน์กับใจดวงนี้ ฟังธรรมๆ เพื่อเตือนหัวใจของตน เอวัง