ประวัติท่านพระอาจารย์ดูลย์ อตุโล

ท่านพระอาจารย์ดูลย์ อตุโล หรือหลวงปู่ดูลย์ ท่านเป็นศิษย์อาวุโสรุ่นแรกของหลวงปู่มั่นที่ได้รับการฝึกฝนอบรมธรรมปฏิบัติมาอย่างเข้มข้น ท่านกับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตยาคโม คู่สหธรรมิก ได้รับความเมตตาไว้วางใจจากสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) และ หลวงปู่มั่น โดยหลวงปู่มั่นกล่าวชมว่า "ท่านดูลย์นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่ง สามารถมีสานุศิษย์และผู้ติดตามมาประพฤติปฏิบัติธรรมด้วยเป็นจำนวนมาก" และปลื้มใจผลการปฏิบัติที่เป็นพยานในมรรค ผล นิพพาน โดยรับรองว่า "ถูกต้องแล้ว เอาตัวรอดได้แล้ว นับว่าไม่ถอยหลังอีกแล้ว อยากให้ดำเนินตามปฏิปทานี้ต่อไป" พร้อมตัดเย็บผ้าไตรจีวรมอบให้เป็นรางวัล

หลวงปู่ดูลย์มีวาสนาบารมีธรรมมาก ด้วยท่านมีปัญญามาก แนวปฏิบัติของท่านจึงเป็น "ปัญญาวิมุตติ" แตกต่างจากบรรดาครูบาอาจารย์ที่เป็นแนว "เจโตวิมุตติ" ท่านเป็นเลิศด้านดูจิต ปัญญาอบรมสมาธิ ท่าน "พิจารณาจิต" ในทุกอริยภูมิจนบรรลุพระอรหันต์ ทรงอภิญญา ๖ การเทศนาตอบปัญหาธรรมของท่านจึงสั้น กระชับ กินใจ แต่ขยายได้กว้างขวางลึกซึ้งพิสดารมาก

เมื่อท่านได้รับบัญชาจากสมเด็จฯ ให้บูรณะฟื้นฟูวัดบูรพารามและบุกเบิกวงกรรมฐานฝ่ายธรรมยุตในจังหวัดสุรินทร์ ท่านก็ได้สนองงานจนประสบความสำเร็จ โดยท่านได้บำเพ็ญจริยา ๓ ไว้อย่างยิ่งใหญ่ครบถ้วนสมบูรณ์ก็เพื่อลาวัฏสงสาร โดยเป็น "พระอุปัชฌาย์แห่งยุค" ที่ทรงคุณวุฒิ คุณธรรม บวชและสอนกุลบุตรไว้สืบพระศาสนามากมาย ท่านเป็นพระป่าที่สอนธรรมะเป็นเลิศ พูดน้อยเน้นสอนที่การกระทำ แม้ท่านอยู่วัดบ้านนานถึง ๕๐ ปี แต่ก็ถือธุดงควัตรปฏิบัติธรรมได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด และเป็น "เสาหลักวงกรรมฐาน" ที่เผยแผ่พระศาสนาเป็นเลิศทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ทั้งงานปกครองคณะสงฆ์ ทั้งสร้างศาสนทายาทธรรมและศาสนถาวรวัตถุ วัดป่าไว้จำนวนมาก

ด้วยคุณธรรมและคุณูปการที่เป็นคุณประโยชน์ดังกล่าว หลวงปู่ดูลย์จึงได้รับการยกย่องเทิดทูนบูชาเป็น "เพชรน้ำหนึ่ง" เป็น "ครูบาอาจารย์ที่หาได้ยาก" เป็น "พระสมบูรณ์แบบ" ที่เพียบพร้อมและมากด้วยความสามารถ ถือเป็น "ปูชนียอริยบุคคล" สมกับสมณศักดิ์สุดท้ายที่ "พระราชวุฒาจารย์" และสมกับที่ท่านเป็นพระมหาเถระอมตะ เป็น "พระรัตตัญญูผู้ไม่มีวิบากสังขาร" ที่ในหลวงรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด เมื่อมรณกาลท่านก็ไม่ทิ้งลวดลายชายชาติอาชาไนย ธรรมประวัติของท่านทรงคุณค่ามาก ถือเป็นคติแบบอย่างอันเลิศเลอล้ำค่างดงามมากองค์หนึ่งในสมัยกึ่งพุทธกาล พุทธบริษัทควรศึกษาจดจำ และยึดถือปฏิบัติตาม เพื่อความเจริญรุ่งเรืองวัฒนาสถาพรของพระศาสนาสืบต่อไป